หัวข้อ: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: KunK ที่ มกราคม 18, 2012, 08:28:17 pm ฟังเขามานานไม่สะใจเท่าลองเอง จับตัวเลขเล่นๆหลังติดLPGได้ตามนี้ครับ
ทวนหลายรอบแล้ว ข้อมูลคงไม่ผิด ขับปกติ 100-120 อัด140ประมาณ10% นิยมใช้แก๊สจนตัดเพื่อให้หัวฉีดน้ำมันทำงานบ้าง ผิดพลาดประการใด ป๋าๆได้โปรดชี้แนะด้วยนะครับ Satu (http://img849.imageshack.us/img849/4016/pajeroeat.jpg) หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: sathapat ที่ มกราคม 18, 2012, 08:34:11 pm like like like like
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Yo-KK ที่ มกราคม 18, 2012, 08:52:26 pm สุดยอดครับป๋า จะลองทำดูบ้างครับ like
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Chai .RY No. 495 ที่ มกราคม 18, 2012, 08:56:15 pm :D :Dขอบคุณมากครับ สำหรับผลการทดสอบ good good หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel No.181 ที่ มกราคม 18, 2012, 08:59:20 pm ยอดเยี่ยมเลยครับ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม
อย่างนี้วิ่งไม่ถึงปีก็น่าจะคืนทุนสินะ หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: KunK ที่ มกราคม 18, 2012, 09:13:54 pm ...ตั้งใจว่าจะหยอดกระปุกผลต่างจากค่าน้ำมันโละ2บาท
เดือน12 ต้องหยอด 5,135 x 2 = 10,270.- มัวแต่ฉลองซะหมด ยังหาไปหยอดไม่ได้เลยครับป๋า ------ ^-^ ...ตอนนี้จะจัดสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องปา ตั้งแต่น้ำมันเครื่อง Mobil1 ,หัวเทียนเปลี่ยนทุก 10,000 โล ยาง(ยังตัดสินใจไม่ได้ ขออีก 10,000 โลละกัน) ที่เหลือหาดูดความรู้จากป๋าๆในนี้แหละครับ หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Hommy ที่ มกราคม 18, 2012, 10:25:09 pm เยี่ยมเลยครับ...1.75 บาท/กม. ต้องรีบไปติดมั่งแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: wongtawan ที่ มกราคม 18, 2012, 10:54:28 pm รบกวนถามครับใช้แก๊ส มีผลเสียต่อความสึกหรอเครื่องยนต์ ไหมครับ และติดแล้ว จะทำให้รถหน้าแหงนขึ้นไหมครับ ( เคยเห็นรถเก๋งติดแล้วหน้ายกเลย ) / ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: pamoo182 ที่ มกราคม 18, 2012, 10:58:48 pm like like like likeผมน้ำมันเพียวๆ crying crying crying crying
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Nakavabi ที่ มกราคม 19, 2012, 12:49:29 am เห็นแล้วอิจฉา :P
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: yoyoza NO.352 ที่ มกราคม 19, 2012, 01:12:59 am เห็นแล้วอิจฉา :P คิดเหมือนก้นเลยของเราโล 3 บาทกว่าเลย crying crying cryingหัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: KunK ที่ มกราคม 19, 2012, 05:42:07 am รบกวนถามครับใช้แก๊ส มีผลเสียต่อความสึกหรอเครื่องยนต์ ไหมครับ และติดแล้ว จะทำให้รถหน้าแหงนขึ้นไหมครับ ( เคยเห็นรถเก๋งติดแล้วหน้ายกเลย ) / ขอบคุณครับ ที่อ่านๆมาเขาว่าความร้อนจากการสันดาปจะสูงกว่าเบนซินจึงต้องมีผลเสียแน่ๆในระยะยาว ต้องหาตัวช่วยมาปกป้องเช่น น้ำมันเครื่องดีๆหรือเปลี่ยนหัวเทียนถี่ขึ้น ติดแล้วหน้าไม่แหงนครับน้ำหนักไม่เยอะเหมือนNGV แถม ได้น้ำหนักมาถ่วง เข้าโค้งได้ดีขึ้น(อันนี้คาดเอาเอง แหะๆ) ฺฺฺฺฺป๋า ปาแก๊สท่านอื่นๆช่วยเสริมของจริงหน่อยครับ หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Chai .RY No. 495 ที่ มกราคม 19, 2012, 06:19:10 am . :D :D :D :D :D
ก๊าซ (LPG) และ (NGV) เป็นพลังงาน ที่ใช้ในรถยนต์ได้อย่างไร จริงแล้วน้ำมันเบนซินเป็นของเหลว แต่ในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ น้ำมันจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะจากของ เหลวเป็นไอเสียก่อนจึงจะผสมกับอากาศเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? ส่วนการใช้ (LPG) และก๊าซ (NGV) ก๊าซจะถูกดูดเข้าเครื่องยนต์ใสสถานะไอที่ผสมกับอากาศรวมเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? เช่นกัน ค่าออกเทน ของก๊าซ (LPG) มีค่าอยู่ประมาณ 105 RON ก๊าซ (NGV) มีค่าออกเทน 120 RON ก๊าซทั้งสองชนิดมีค่าออกเทน ที่ใกลเคียงกับน้ำมันเบนซิน จึงนำมาดัดแปลงใช้กับเครื่องยนต์ที่กำหนดให้ใช้เบนซินออกเทน 91,95 ได้ ทำไมเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้ก๊าซ (LPG) ก๊าซ (NGV) มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่ว การเผาไหม้ของก๊าซ (LPG) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 400 ?C การเผาไหม้ของก๊าซ (NGV) จะให้ค่า ความร้อนสูงประมาณ กว่า 500 ?C : ซึ่งสูงกว่าการใช้พลังงานน้ำมันเบนซินถึงกว่า 2 เท่า ความร้อนจะทำให้โลหะ ชิ้นส่วนของบ่าวาล์วนิ่มและอ่อนตัว ส่งผลให้เกิดการสึกหรอได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันเบนซิน จะมีสารปรุงแต่ง (Additive) จำพวก สารปกป้องบ่าวาล์ว สารหล่อลื่น สารชะล้างต่างๆ เมื่อเกิดการเผาไหม้ ไอของน้ำมันจะเคลือบอยู่ที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของบ่าวาล์ว สามารถรับแรงกดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ส่วนพลังงานก๊าซไม่สามารถปรุงแต่งใดๆ ได้ ไอดีของก๊าซ มีลักษณะเป็นไอที่แห้ง ไม่มีสารเคลือบบ่าวาล์ว ทำให้การสึกหรอจากการปิด ? เปิดของวาล์ว เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับค่าความร้อนสูงถึงความร้อนของ ก๊าซ (LPG) และ ก๊าซ (NGV) จึงทำให้เครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้พลังงานก๊าซเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว เราสามารถใช้น้ำมัน 2T (AUTO LUBE) มาใช้ในการเลี้ยงวาล์วเพื่อป้องกันการสึกหรอของบ่าวาล์ว ได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอชมเชยท่านที่คิดค้นและพยายามนำเอาน้ำมัน 2 T ที่ใช้ในการหล่อลื่นในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ โดยท่านได้ทรายถึงปัญหาของบ่าวาล์วและได้มีการแก้ไขโดยใช้วิธีเดียวกับมอเตอร์ไซ และถ้าจะถามว่า ใช้ได้ผลหรือไม่ ให้พินิจพิจารณาดูจาก ก. เครื่องยนต์ที่ใช้ น้ำมัน 2 T เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะมีรอบกาจจุดระเบิดทุกรอบ แต่เครื่องยนต์ในรถยนต์ เป็น เครื่องยนต์ 4 จังหวะ เครื่องยนต์หมุน 2 รอบแต่มีการจุดระเบิด ให้กำลังงาน 1 รอบ ข. เครื่องยนต์ 2 จังหวะและ 4 จังหวะ มีการออกแบบวาล์วไอดีและไอเสียที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมไปถึง ลักษณะของแหวนลูกสูบ กล่าวคือ วาล์วของเครื่องยนต์ 2 จังหวะมักจะมีการออกแบบเป็นลักษณะของช่องพอร์ด โดยใช้ลูกสูบเป็นตัวเปิด-ปิดวาล์วไอดีและไอเสีย ส่วนเครื่องยนต์ 4 จังหวะจะมีวาล์วไอดีไอเสียเป็นลักษณะของดอกเห็ด อยู่ส่วนบนของกระบอกสูบ เปิดปิดโดย ใช้เพลาลูกเบี้ยวเป็นตัวเปิด-ปิด ค. การออกแบบน้ำมัน 2T ก็ได้มีการออกแบบให้มีลักษณะและองค์ประกอบของน้ำมันในเรื่องของการเผาไหม้ และการหล่อลื่น ลูกสูบกับกระบอกสูบ และให้ใช้กับเครื่องยนต์ 2 จังหวะที่มีรอบการทำงานที่จัดกว่า เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ง. อย่างไรก็ดีเครื่องยนต์ 2 จังหวะเมื่อมีการใช้ไปสักระยะหนึ่งก็มักจะต้องพบกับปัญหาเรื่องการสะสมเขม่า การอุดตัน หัวเทียนบอด และอื่นๆตามมา จ. ปัจจุบันมีการพบรถยนต์ที่ดัดแปลงมาใช้ก๊าซพร้อมกับมีการใช้น้ำมัน 2 Tมาเลี้ยงวาล์ว แล้วเกิดความเสียหาย ตั้งแต่อาการบ่าวาล์วรั่ว หัวลูกสูบทะลุหนักไปจนถึงจะต้องมีการผ่าเครื่องมาซ่อมบำรุงกันยกใหญ่ แต่ในขณะเดียว กันก็ยังมีผู้ที่ใช้ 2T เลี้ยงวาล์วแล้วก็ยังบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ ฉ. ในต่างประเทศที่มีการใช้ก๊าซเป็นพลังงานแทนน้ำมันเบนซิน จะไม่มีการใช้ น้ำมัน 2 T มาเลี้ยงวาล์ว เพราะ ทราบถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อเครื่องยนต์แล้วไอพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ยังก่อไห้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันในรถมอเตอร์ไซดิ์ได้มีการยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะเพราะตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวด ล้อมนั้นเอง การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินและใช้น้ำมันสักพัก จะสามารถช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่ การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายการสึกหรอ จะน้อยกว่าการสตาร์ทด้วย ก๊าซ ส่วนการใช้น้ำมันเบนซินเลี้ยงวาล์วนั้น ยังไม่เคยมีการทำการทดสอบอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแต่ข้อ สันนิฐาน แต่การใช้น้ำมันเบนซินให้บ่อย และนานขึ้นในช่วงก่อนออกรถและก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ ก็จะ มีส่วนช่วย ให้ไอน้ำมันเบนซินเข้ามาช่วยชะล้างเขม่าหรือขี้เถ้าที่เกิดจากการสันดาปด้วยก๊าซได้ อย่างไรก็ดีทัน ที่มีได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทนน้ำมันเบนซิน ก็มีแนวคิดในเรื่องของ ความร้อนที่เกิดจากการสันดาปด้วย ก๊าซที่ให้ความร้อนที่สูงกว่าน้ำมัน ดังนั้นไอน้ำมันเบนซินที่เคลือบไว้ตามส่วนต่างๆของวาล์วก็จะถูกความร้อนของ ก๊าซเผาไหม้ไปไนเวลาต่อมานั้นเอง จึงพิจารณาได้ว่าการเลี้ยงวาล์วด้วยน้ำมันเบนซินไม่น่าจะได้ผลดีเท่าที่ควร (ในจังหวะอัด ก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนตัวขึ้นสู่จุดศูนย์ตายบนเพียงเล็กน้อย หัวเทียนจะจุดประกายเผาไหม้ส่วนผสม ไอดีให้ลุกไหม้ ทำให้เกิดพลังงานแรงดันสูงประมาณ 30 ถึง 60 บาร์ และให้ ความร้อนสูงสุด 2000 ถึง 2500 อง ศาเซลเซียส และจะลดลงประมาณ 900 ถึง 800 องศาเซลเซียสเมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวลงสู่จุดศูนย์ตายล่าง) ไอของน้ำมันเครื่องมีส่วนช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอถามว่า ไอน้ำมันเครื่องคืออะไร ไอน้ำมันเครื่องที่เราเห็นคือ ไอเสียที่ตกค้างจากการ เผาไหม้ เชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ เป็นแก๊สไอเสีย จะถูกระ บายออกจากเครื่องยนต์ผ่านลิ้นไอเสีย จะมีประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ตกค้างจากการเผาไหม้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์จะเป็น คาร์บอน ซัลเฟอร์ และน้ำ ตกค้างอยู่ในกระบอกสูบ และเมื่อรวมตัวกันจะเกิดเป็นกรด กำมะถัน ทำปฏิกิริยากับน้ำมันเครื่อง จะเกิดแก๊สพิษและโคลนตรงกัดกร่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ เครื่องยนต์ และ เป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพโดยเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีการต่อท่อ ระบายแก๊สให้ออกไปจากเครื่องยนต์ โดยนำไอเสียนี้กลับเข้ามาเผาไหม้ใหม่อีกครั้ง เพื่อลดมลภาวะอากาศเป็นพิษ (เป็นกฎข้อบังคับในการกำจัด ไอเสียที่เป็นพิษ) และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นจึงตอบได้ว่า วิศวกรได้ออกแบบระบบไอน้ำมันเครื่องโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนำไอน้ำมันเครื่องมาเลี้ยง วาล์วโดยตรง แต่ดูจากระบบแล้ว ไอของน้ำมันเครื่องก็หน้า จะมีส่วนช่วยในการป้องกันการสึกหรอของวาล์วได้ ไม่มากนัก จะมีวิธีป้องกันปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่วหรือไม่ เครื่องจักรทุกชนิดที่มีการเคลื่อนที่เกิดการเสียดสี เกิดการกระแทก ก็ย่อมเกิดการสึกหรอเป็นธรรมดา แต่สำ หรับเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซจะมีการสึกหรอมากขึ้นกว่าปกติ ก็เนื่องมาจากความร้อนที่เกิดขึ้นมากกว่า นั้นเอง ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาให้หมดไปนั้นจึงไม่สามารถทำได้ แต่หากจะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงไปได้บ้าง ก็พอจะมีวิธีแนะนำอยู่บ้างเช่น - อัตราการสึกหรอของบ่าวาล์วจะลดลงได้ถ้าหากใช้ความเร็วต่ำ - ไม่ขับขี่รถยนต์ในเวลาที่มีอากาศร้อนจัดเป็นระยะทางไกล โดยไม่มีการพัก มีการใช้รถอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ ควรเกิน 1 ? 2 ชั่วโมง - ควรสลับมาใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 1 ต่อ 10 ของการใช้งานจริง - ดูแลเรื่องระบบระบายความร้อน ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ และพัดลมให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่อุดตัน และควรใช้ ผลิตภัณฑ์จำพวกน้ำยาหม้อน้ำควบคู่ไปด้วย - ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืด (SAE) ที่สูงขึ้น - ในส่วนของน้ำมันที่ใช้สำหรับเลี้ยงวาล์ว ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีคุณสมบัติในการใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ผลิต ได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติที่ใช้งานโดยเฉพาะ ก็จะแก้ปัญหาของการสึกหรอของบ่าวาล์วได้โดยตรงแล้ว จะ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ และสิ่งแวดล้อม ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆมาทดแทนโดยปราศจากความเข้าใจ ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแล้วยังจะส่งผลเสียให้กับเครื่องยนต์ตามมาอีกด้วย http://www.s26auto.com/index.php?option=com_content&view=article&id=69:ngv-a-lpg&catid=39:articles04&Itemid=82 หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: setta2001 >>> 0363 <<< ที่ มกราคม 19, 2012, 06:40:06 am จากประสบการณ์ใช้รถติดแกสLPGมาสองคัน(CRV) ผมว่าอาการบ่าวาล์วทรุดจะเริ่มประมาณ1แสนโลหลังจากติดแกส แต่เครื่องแต่ละยี่ห้อความทนทานไม่เท่ากันครับ พี่ชายใช้ฟอร์จูนเนอร์ติดแกสใช้เกือบ2แสนโลถึงจะเริ่มมีปัญหา แต่ถามพวกแทคซี่อัลติสที่ติดLPG ต้องตั้งวาล์วเกือบทุกวัน สรุปว่าในระยะยาวมีอาการแน่นอน มากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องก่อนติดแกส การดูแลที่เหมาะสม ความทนทานของเครื่อง แต่การคืนทุนในระยะแสนโลแรกก็คุ้มทุนไปแล้ว แต่ผมว่าเมื่อเครื่องมันเริ่มงอแง จะหมดสนุกในการใช้รถไปเลยครับ ผมเลยหันมาคบดีเซลระยะยาวผมคิดแล้วคุ้มกว่าครับ. :)
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: KunK ที่ มกราคม 19, 2012, 06:52:18 am ได้ความรู้เต็มๆล้นๆเลยโดยเฉพาะจากป๋าwanchai.pttpl
ก็ต้องเตรียมใจเตรียมตังส์ไว้เปลี่ยนเครื่องใหม่แหละครับ ป๋าsetta2001บอกว่าประมาณแสนโล ต้องหยอดกระปุก โลละบาท ถึงตอนนั้นคงได้เครื่องV อิอิ O0. Satu หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Chai .RY No. 495 ที่ มกราคม 19, 2012, 08:32:29 am ปัญหารถทึ่ใช้แก๊สคือ บ่าวาล์ว แต่ละยี่ห้ออาการก็จะต่างกัน ไม่มากก็น้อย หรือบางยี่ห้อ บางรุ่น ก็ไม่มีอาการนี้เลยก็มี
ไม่รู้ว่า เครื่องยนต์ อย่างไหนพังก่อน ผมว่า อยู่ที่การบำรุงรักษา การใช้งาน และ ความรู้ เพิ่มเติม ของการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้พลังงานหลากหลายแบบ ครับ เบนซิน : เครื่องพัง LPG : เครื่องพัง NGV :เครื่องพัง ดีเซล : เครื่องพัง :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: ปลากรอบ(GOFF) ที่ มกราคม 19, 2012, 09:00:05 am . :D :D :D :D :D ก๊าซ (LPG) และ (NGV) เป็นพลังงาน ที่ใช้ในรถยนต์ได้อย่างไร จริงแล้วน้ำมันเบนซินเป็นของเหลว แต่ในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ น้ำมันจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะจากของ เหลวเป็นไอเสียก่อนจึงจะผสมกับอากาศเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? ส่วนการใช้ (LPG) และก๊าซ (NGV) ก๊าซจะถูกดูดเข้าเครื่องยนต์ใสสถานะไอที่ผสมกับอากาศรวมเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ?ไอดี? เช่นกัน ค่าออกเทน ของก๊าซ (LPG) มีค่าอยู่ประมาณ 105 RON ก๊าซ (NGV) มีค่าออกเทน 120 RON ก๊าซทั้งสองชนิดมีค่าออกเทน ที่ใกลเคียงกับน้ำมันเบนซิน จึงนำมาดัดแปลงใช้กับเครื่องยนต์ที่กำหนดให้ใช้เบนซินออกเทน 91,95 ได้ ทำไมเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้ก๊าซ (LPG) ก๊าซ (NGV) มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่ว การเผาไหม้ของก๊าซ (LPG) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 400 ?C การเผาไหม้ของก๊าซ (NGV) จะให้ค่า ความร้อนสูงประมาณ กว่า 500 ?C : ซึ่งสูงกว่าการใช้พลังงานน้ำมันเบนซินถึงกว่า 2 เท่า ความร้อนจะทำให้โลหะ ชิ้นส่วนของบ่าวาล์วนิ่มและอ่อนตัว ส่งผลให้เกิดการสึกหรอได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันเบนซิน จะมีสารปรุงแต่ง (Additive) จำพวก สารปกป้องบ่าวาล์ว สารหล่อลื่น สารชะล้างต่างๆ เมื่อเกิดการเผาไหม้ ไอของน้ำมันจะเคลือบอยู่ที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของบ่าวาล์ว สามารถรับแรงกดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ส่วนพลังงานก๊าซไม่สามารถปรุงแต่งใดๆ ได้ ไอดีของก๊าซ มีลักษณะเป็นไอที่แห้ง ไม่มีสารเคลือบบ่าวาล์ว ทำให้การสึกหรอจากการปิด ? เปิดของวาล์ว เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับค่าความร้อนสูงถึงความร้อนของ ก๊าซ (LPG) และ ก๊าซ (NGV) จึงทำให้เครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้พลังงานก๊าซเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว เราสามารถใช้น้ำมัน 2T (AUTO LUBE) มาใช้ในการเลี้ยงวาล์วเพื่อป้องกันการสึกหรอของบ่าวาล์ว ได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอชมเชยท่านที่คิดค้นและพยายามนำเอาน้ำมัน 2 T ที่ใช้ในการหล่อลื่นในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ โดยท่านได้ทรายถึงปัญหาของบ่าวาล์วและได้มีการแก้ไขโดยใช้วิธีเดียวกับมอเตอร์ไซ และถ้าจะถามว่า ใช้ได้ผลหรือไม่ ให้พินิจพิจารณาดูจาก ก. เครื่องยนต์ที่ใช้ น้ำมัน 2 T เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะมีรอบกาจจุดระเบิดทุกรอบ แต่เครื่องยนต์ในรถยนต์ เป็น เครื่องยนต์ 4 จังหวะ เครื่องยนต์หมุน 2 รอบแต่มีการจุดระเบิด ให้กำลังงาน 1 รอบ ข. เครื่องยนต์ 2 จังหวะและ 4 จังหวะ มีการออกแบบวาล์วไอดีและไอเสียที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมไปถึง ลักษณะของแหวนลูกสูบ กล่าวคือ วาล์วของเครื่องยนต์ 2 จังหวะมักจะมีการออกแบบเป็นลักษณะของช่องพอร์ด โดยใช้ลูกสูบเป็นตัวเปิด-ปิดวาล์วไอดีและไอเสีย ส่วนเครื่องยนต์ 4 จังหวะจะมีวาล์วไอดีไอเสียเป็นลักษณะของดอกเห็ด อยู่ส่วนบนของกระบอกสูบ เปิดปิดโดย ใช้เพลาลูกเบี้ยวเป็นตัวเปิด-ปิด ค. การออกแบบน้ำมัน 2T ก็ได้มีการออกแบบให้มีลักษณะและองค์ประกอบของน้ำมันในเรื่องของการเผาไหม้ และการหล่อลื่น ลูกสูบกับกระบอกสูบ และให้ใช้กับเครื่องยนต์ 2 จังหวะที่มีรอบการทำงานที่จัดกว่า เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ง. อย่างไรก็ดีเครื่องยนต์ 2 จังหวะเมื่อมีการใช้ไปสักระยะหนึ่งก็มักจะต้องพบกับปัญหาเรื่องการสะสมเขม่า การอุดตัน หัวเทียนบอด และอื่นๆตามมา จ. ปัจจุบันมีการพบรถยนต์ที่ดัดแปลงมาใช้ก๊าซพร้อมกับมีการใช้น้ำมัน 2 Tมาเลี้ยงวาล์ว แล้วเกิดความเสียหาย ตั้งแต่อาการบ่าวาล์วรั่ว หัวลูกสูบทะลุหนักไปจนถึงจะต้องมีการผ่าเครื่องมาซ่อมบำรุงกันยกใหญ่ แต่ในขณะเดียว กันก็ยังมีผู้ที่ใช้ 2T เลี้ยงวาล์วแล้วก็ยังบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ ฉ. ในต่างประเทศที่มีการใช้ก๊าซเป็นพลังงานแทนน้ำมันเบนซิน จะไม่มีการใช้ น้ำมัน 2 T มาเลี้ยงวาล์ว เพราะ ทราบถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อเครื่องยนต์แล้วไอพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ยังก่อไห้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันในรถมอเตอร์ไซดิ์ได้มีการยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะเพราะตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวด ล้อมนั้นเอง การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินและใช้น้ำมันสักพัก จะสามารถช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่ การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายการสึกหรอ จะน้อยกว่าการสตาร์ทด้วย ก๊าซ ส่วนการใช้น้ำมันเบนซินเลี้ยงวาล์วนั้น ยังไม่เคยมีการทำการทดสอบอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแต่ข้อ สันนิฐาน แต่การใช้น้ำมันเบนซินให้บ่อย และนานขึ้นในช่วงก่อนออกรถและก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ ก็จะ มีส่วนช่วย ให้ไอน้ำมันเบนซินเข้ามาช่วยชะล้างเขม่าหรือขี้เถ้าที่เกิดจากการสันดาปด้วยก๊าซได้ อย่างไรก็ดีทัน ที่มีได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทนน้ำมันเบนซิน ก็มีแนวคิดในเรื่องของ ความร้อนที่เกิดจากการสันดาปด้วย ก๊าซที่ให้ความร้อนที่สูงกว่าน้ำมัน ดังนั้นไอน้ำมันเบนซินที่เคลือบไว้ตามส่วนต่างๆของวาล์วก็จะถูกความร้อนของ ก๊าซเผาไหม้ไปไนเวลาต่อมานั้นเอง จึงพิจารณาได้ว่าการเลี้ยงวาล์วด้วยน้ำมันเบนซินไม่น่าจะได้ผลดีเท่าที่ควร (ในจังหวะอัด ก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนตัวขึ้นสู่จุดศูนย์ตายบนเพียงเล็กน้อย หัวเทียนจะจุดประกายเผาไหม้ส่วนผสม ไอดีให้ลุกไหม้ ทำให้เกิดพลังงานแรงดันสูงประมาณ 30 ถึง 60 บาร์ และให้ ความร้อนสูงสุด 2000 ถึง 2500 อง ศาเซลเซียส และจะลดลงประมาณ 900 ถึง 800 องศาเซลเซียสเมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวลงสู่จุดศูนย์ตายล่าง) ไอของน้ำมันเครื่องมีส่วนช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอถามว่า ไอน้ำมันเครื่องคืออะไร ไอน้ำมันเครื่องที่เราเห็นคือ ไอเสียที่ตกค้างจากการ เผาไหม้ เชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ เป็นแก๊สไอเสีย จะถูกระ บายออกจากเครื่องยนต์ผ่านลิ้นไอเสีย จะมีประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ตกค้างจากการเผาไหม้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์จะเป็น คาร์บอน ซัลเฟอร์ และน้ำ ตกค้างอยู่ในกระบอกสูบ และเมื่อรวมตัวกันจะเกิดเป็นกรด กำมะถัน ทำปฏิกิริยากับน้ำมันเครื่อง จะเกิดแก๊สพิษและโคลนตรงกัดกร่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ เครื่องยนต์ และ เป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพโดยเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีการต่อท่อ ระบายแก๊สให้ออกไปจากเครื่องยนต์ โดยนำไอเสียนี้กลับเข้ามาเผาไหม้ใหม่อีกครั้ง เพื่อลดมลภาวะอากาศเป็นพิษ (เป็นกฎข้อบังคับในการกำจัด ไอเสียที่เป็นพิษ) และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นจึงตอบได้ว่า วิศวกรได้ออกแบบระบบไอน้ำมันเครื่องโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนำไอน้ำมันเครื่องมาเลี้ยง วาล์วโดยตรง แต่ดูจากระบบแล้ว ไอของน้ำมันเครื่องก็หน้า จะมีส่วนช่วยในการป้องกันการสึกหรอของวาล์วได้ ไม่มากนัก จะมีวิธีป้องกันปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่วหรือไม่ เครื่องจักรทุกชนิดที่มีการเคลื่อนที่เกิดการเสียดสี เกิดการกระแทก ก็ย่อมเกิดการสึกหรอเป็นธรรมดา แต่สำ หรับเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซจะมีการสึกหรอมากขึ้นกว่าปกติ ก็เนื่องมาจากความร้อนที่เกิดขึ้นมากกว่า นั้นเอง ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาให้หมดไปนั้นจึงไม่สามารถทำได้ แต่หากจะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงไปได้บ้าง ก็พอจะมีวิธีแนะนำอยู่บ้างเช่น - อัตราการสึกหรอของบ่าวาล์วจะลดลงได้ถ้าหากใช้ความเร็วต่ำ - ไม่ขับขี่รถยนต์ในเวลาที่มีอากาศร้อนจัดเป็นระยะทางไกล โดยไม่มีการพัก มีการใช้รถอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ ควรเกิน 1 ? 2 ชั่วโมง - ควรสลับมาใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 1 ต่อ 10 ของการใช้งานจริง - ดูแลเรื่องระบบระบายความร้อน ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ และพัดลมให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่อุดตัน และควรใช้ ผลิตภัณฑ์จำพวกน้ำยาหม้อน้ำควบคู่ไปด้วย - ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืด (SAE) ที่สูงขึ้น - ในส่วนของน้ำมันที่ใช้สำหรับเลี้ยงวาล์ว ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีคุณสมบัติในการใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ผลิต ได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติที่ใช้งานโดยเฉพาะ ก็จะแก้ปัญหาของการสึกหรอของบ่าวาล์วได้โดยตรงแล้ว จะ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ และสิ่งแวดล้อม ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆมาทดแทนโดยปราศจากความเข้าใจ ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแล้วยังจะส่งผลเสียให้กับเครื่องยนต์ตามมาอีกด้วย http://www.s26auto.com/index.php?option=com_content&view=article&id=69:ngv-a-lpg&catid=39:articles04&Itemid=82 like like like like หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: P@Kaow ที่ มกราคม 19, 2012, 10:33:04 am จากประสบการณ์ใช้รถติดแกสLPGมาสองคัน(CRV) ผมว่าอาการบ่าวาล์วทรุดจะเริ่มประมาณ1แสนโลหลังจากติดแกส แต่เครื่องแต่ละยี่ห้อความทนทานไม่เท่ากันครับ พี่ชายใช้ฟอร์จูนเนอร์ติดแกสใช้เกือบ2แสนโลถึงจะเริ่มมีปัญหา แต่ถามพวกแทคซี่อัลติสที่ติดLPG ต้องตั้งวาล์วเกือบทุกวัน สรุปว่าในระยะยาวมีอาการแน่นอน มากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องก่อนติดแกส การดูแลที่เหมาะสม ความทนทานของเครื่อง แต่การคืนทุนในระยะแสนโลแรกก็คุ้มทุนไปแล้ว แต่ผมว่าเมื่อเครื่องมันเริ่มงอแง จะหมดสนุกในการใช้รถไปเลยครับ ผมเลยหันมาคบดีเซลระยะยาวผมคิดแล้วคุ้มกว่าครับ. :) ขึ้นอยู่กับการใช้รถถ้าวิ่งต่างจังหวัดบ่อยๆก็ได้ระยะทางมากชั่วโมงการติดเครื่องน้อย ถ้าวิ่งต่างจังหวัดน้อยวิ่งในกรุงเทพเสียส่วนใหญ่ได้ระยะทางน้อยชั่วโมงการใช้งานมาก ดูแท๊กซี่วิ่งใน กทม.ซิไม่ถึงแสนโลสักคันต้องยกเครื่องแล้ว หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: <=INDY=> ที่ มกราคม 19, 2012, 11:12:45 am เยี่ยมมากๆเลยครับ ข้อมูลจากป๋า Wanchai ผมคิดว่าค่อนข้างตรงกับประสพการณ์ส่วนตัวผมเลย
รถคันเก่า แลนเซอร์ CK4 ซื้อมือ1จากศูนย์ เช็คระยะซ่อมทุกอย่างตรงตามกำหนด ไปติดแก๊สหัวฉีด AC ตอน 50000 โล 22000บาท วิ่งดีมาก ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย หลังติดแก๊สเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเครื่อง Mobil 1 และเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ ทุก 10000โล สตาร์ทรถด้วยน้ำมันตลอด และวิ่งน้ำมันประมาณ 10นาทีก่อนเปลี่ยนเป็นแก๊สทุกเช้า และเปลี่ยนเป็นน้ำมันก่อนขับถึงบ้านประมาณ10นาทีทุกเย็น แวะศูนย์แก๊สเช็คกรองแก๊สและปรับตั้งกล่องECU Gas ทุก10000โลเช่นกัน เริ่มมาออกอาการตอนประมาณ 140,000 กม. บ่าวาวล์ทรุด ต้องไปทำใหม่ ปั้มติ๊กพัง และหลังจากนั้นก็มีปัญหานิดๆหน่อยๆมาเรื่อยๆ จนตัดสินใจซื้อน้องปานี้ล่ะครับ แต่ผมก็พอใจนะ เพราะคืนทุนตั้งแต่ปีแรกแล้วล่ะ เก็บเงินได้เยอะเลย แถมมีเหตุอ้าง ผบ.เปลี่ยนเป็นน้องปาอีก O0 หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Yo-KK ที่ มกราคม 19, 2012, 10:29:32 pm ขอบคุณป๋า wanchai มากครับ สาธุ สาธุ
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: wongtawan ที่ มกราคม 19, 2012, 10:57:09 pm :)ขอบคุณพี่ wanchai และ ทุกๆ ท่านที่ได้ให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นครับ :)
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสิ้นเปลืองหลังติดLPG ปา2.4 เริ่มหัวข้อโดย: Chai .RY No. 495 ที่ มกราคม 20, 2012, 09:24:04 am ข้อมูล เพิ่มเติม ครับ การใช้ก๊าซ LPG มีประโยชน์สำหรับตัวท่าน รถยนต์ และสิ่งแวดล้อมรอบกาย สามารถทำให้เครื่องนยต์ทำงานมีประสิทธิภาพสูง และอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น หากได้มีการบำรุงรักษาได้อย่างถูกต้อง ก๊าซแอลพีจีจะช่วยลดปริมาณคาร์บอนที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเผาไหม้ได้อย่างมาก ในระยะยาวซึ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของเครื่องยนต์อีกด้วย :::ความปลอดภัย ก๊าซแอลพีจี มีมวลน้ำหนักหนักกว่าอากาศ แต่มีมาตราฐานความปลอดภัย คือ ให้มีการเติมกลิ่นเพื่อให้ทราบว่ามีการรั่วไหลของก๊าซ จึงมั่นใจได้ว่าหากเกิดการรั่วสามารถป้องกันการเกิดอันตรายได้ ก๊าซแอลพีจี จะอยุ่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซจะมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาศที่จะเกิดการระเบิดจากการชนมีได้น้อย :::ความประหยัด ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้น้ำมันเครื่องได้ ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้ มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งให้การสตาร์ท และการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบรูณ์มากขึ้น :::สิ่งแวดล้อม ก๊าซแอลพีจี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด จึงช่วยให้ลดไอเสียและส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศได้โดยตรง ข้อควรระวัง 1. เนื่องจากการติดตั้งเชื้อเพลิงที่เป็นก๊าซ จะจ่ายเข้าไปยังช่องไอดี(แบบหัวดูด) พร้อมกับอากาศ และจุดระเบิดโดยหัวเทียน(ทั้งหัวฉีดและหัวดูด) ดังนั้นต้องระวังเรื่อง หัวเทียนบอดบางลูกสูบ ด้วยเพราะเราเห็นว่ารถวิ่งได้แต่จริงๆแล้ว บอดไป 1-2 ตัว ก๊าซที่ไม่ถูกเผาไหม้ "แต่สามารถติดไฟได้ง่าย"จะถูกดันออกมาทางท่อไอเสีย ต้องหัดสังเกตุรอบเครื่องปกติ กับอัตราเร่งว่าตกลงไปหรือเปล่า? 2. ดูแลเรื่องระบบความร้อน พัดลม หม้อน้ำ ด้วย เพราะก๊าซจะให้ความร้อนสูงกว่าน้ำมันและอุปกรณ์อื่นๆข้างเคียงแหล่งความร้อนจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติเพราะตอนออกแบบ จะออกแบบ อายุการใช้งานอุปกรณ์ มากับอุณหภูมิที่ใช้น้ำมัน :D :Dทั้งนี่ขอบอกว่า ข้อมูลต่างๆที่นำมา ผมนำจะจาก เวบไซด์ และ บุคคลต่างๆที่ มีความรู้ และประสบการณ์ จากการใช้ครับ เพื่อเผยแพร่ ความรู้ไปสู่ทุกๆๆคน ต่อครับผม good good
|