Languages
หน้า: [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดีๆ ลองอ่านกันดูครับ (เก็บเรื่องนี้ไว้ใน NB นานมากแล้ว แบ่งปันกันอ่านครับ)  (อ่าน 9728 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:12:14 pm »

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:13:20 pm »

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh?

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:14:17 pm »

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:15:03 pm »

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบบริบูรณ์....
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:18:41 pm »

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
(เป็นบทละคร ครับ ผมได้ เก็บไว้ที่ NB ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานที่ samsung พอดี เครื่องเสีย กำลังล้างเครื่องอยู่ เจอเลยนำมาให้อ่านกัน )
 
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
chanchaic
Newbie
*

like: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:22:36 pm »

Cry
บันทึกการเข้า
leejoe
โจ เทียนทะเล@ปทุมบางคูวัด
Jr. Member
**

like: 16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 686



« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:42:19 pm »

ขออ่านพรุ้งนี้นะครับวันนี้โดนของป๋าตู๋มาแล้วตาเริ่มลาย โอ๊ยมึน
บันทึกการเข้า

Tee_Kb
Global Mod
Hero Member
*

like: 107
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14140



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 05:40:05 pm »

สวดยอดเลยคับ....ถ้าเอามาทำหนังจะต้องซื้อเก็บไว้เลย good good like like
บันทึกการเข้า

มีปาพาไปหามิตร....มิตรภาพดีๆหาได้ที่นี่
www.Pajerosport-thailand.com
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 05:44:28 pm »

Cry
แสดงว่าเป็นคนแรกที่อ่านจบ 
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 05:45:20 pm »

สวดยอดเลยคับ....ถ้าเอามาทำหนังจะต้องซื้อเก็บไว้เลย good good like like
คนที่สองที่อ่านจบ  ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 06:14:27 pm »

ลืมบอกไป เป็นเรื่องแต่งนะครับไม่ใช้เรื่องจริง
(เรื่องจริง ผู้ก่อตั้ง samsung ชื่อ Lee Byung-chull เกิดในตระกูลร่ำรวยเป็น landlord จบจากมหาวิทยาลัย วาเซดะที่ญี่ปุ่น แล้วตอนนี้ก็เสียชีวิตไปแล้วตอนอายุ 73ปี)
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
Taikek ปาทองดำ ID 022
Hero Member
*****

like: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2528


เรื่องบางเรื่อง มีคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ มีเหตุและไม่ต้องมีผล

pornchai_sava@hotmail.com
อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 06:24:25 pm »

อันนี้ซิเรื่องจริง
(นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2528 )
 
 

ซัมซุงเป็นบริษัทชั้นนำบริษัทหนึ่งของเกาหลีใต้ ที่ก้าวผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทข้ามชาติภายใต้การนำของประธานที่ชื่อ ลี ที่อายุ 75 ปี ซัมซุงทุกวันนี้กำลังบุกหนักในด้านอิเลคโทรนิคส์ที่มียอดขายปีที่แล้วถึง 1.7 พันล้านเหรียญ (46,000 ล้านบาท)

ซัมซุงมีโครงการจะผลิตคอมพิวเตอร์ให้กับเอเซียเรียกว่า เอเซียน คอมพิวเตอร์

สินค้าอิเลคโทรนิคส์ของซัมซุงกำลังเริ่มติดตลาดในอเมริกา และยุโรป เฉพาะตลาดเตาไมโครเวฟ ซัมซุงส่งขายที่ห้างเจซี เพนนี แห่งเดียวเมื่อปีที่แล้วถึง 7 แสนกว่าเครื่อง

ความสำเร็จของซัมซุงเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของประธานบริษัทซึ่งสร้างระเบียบวินัยที่เข้มงวดจัดให้กับพนักงานซัมซุงทั้งหลาย

ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมในตะวันตกกำลังหัวเสียกับการบุกตลาดของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นเองก็ถูกรบกวนให้เกิดความกังวลจากประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่ง คือเกาหลีใต้ ซึ่งกำลังนำเทคโนโลยีชั้นสูง (HIGH-TECH) เข้าสู่ระดับโลก โดยพยายามฝ่าฟันมรสุมต่าง ๆ จากบริษัทต่าง ๆ ของอเมริกัน และหลบเลี่ยงคู่ต่อสู้จากบริษัทของพวกยุโรปอย่างเต็มกำลังความสามารถ

เทคโนโลยีชั้นสูงที่สำคัญมากของเกาหลีใต้ได้แก่ด้านอิเลคโทรนิคส์ และบริษัทชั้นนำทางด้านนี้ก็คือบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (SAMSUNG ELECTRONICS CO.) หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า เอสอีซี (SEC) บริษัทซึ่งจากรายงานเมื่อปีที่แล้วพบว่า ยอดขายของเอสอีซีเพิ่มขึ้นถึง 91% คิดเป็นเงิน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และปีนี้ ซัมซุงตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขายให้ได้ 2.1 พันล้านเหรียญ

เอสอีซีเป็นบริษัทผู้ส่งออกระดับแนวหน้าของเกาหลีประมาณ 56% ของสินค้าที่ผลิตได้ ได้แก่ วิดีโอเทป เตาอบไมโครเวฟ และทีวีสีที่ผลิตได้เมื่อปีที่แล้ว ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ

เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอิเลคโทรนิคส์ของทั้งประเทศ เอสอีซี ส่งออกประมาณ 1/4 ของสินค้าประเภทนี้

เป้าหมายของการส่งออกปีนี้ (1985) เอสอีซี วางโครงการไว้ว่า จะส่งออกให้ได้มูลค่า 1.2 พันล้านเหรียญ

สินค้าส่วนใหญ่ส่งไปสหรัฐ การที่เอสอีซีทุ่มสุดตัวกับงานนี้ดู ๆ ก็น่าหวาดเสียวเหมือนกัน เพราะปัจจุบันธุรกิจทางด้านอิเลคโทรนิคส์ของโลกยังอยู่ในท่ามกลางภาวะตกต่ำ การกระทำการจู่โจมอย่างรุนแรงของเอสอีซีจึงดูเหมือนว่าท้าทายพายุเศรษฐกิจอย่างน่าเสียวไส้แทน

แต่ใคร ๆ ในวงการธุรกิจโดยเฉพาะในเกาหลีก็รู้กันว่า บริษัทเอสอีซีเป็นพวกที่ชอบเสี่ยง

เมื่อ 3 ปีก่อน เอสอีซีแยกเซมิคคอนดัคเตอร์ (SEMICONDUCTOR ) ออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ซัมซุง เซมิคอนดัคเตอร์ แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น ( SAMSUNG SEMICONDUCTOR AND TELECOMMUNICATIONS) เรียกสั้น ๆ ว่า เอสเอสที (SST)

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เอสเอสทีเป็นบริษัทแรก (นอกเหนือจากบริษัทในสหรัฐและญี่ปุ่น) ที่สร้างโรงงานผลิตเม็มโมรี่ (MEMORIES ) ขนาด 64-เค (64-K ) สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ และได้นำส่งออกเมื่อปีกว่ามานี้เอง

และเมื่อต้นปีนี้ (1985) เอสเอสทีก็ได้ขยายโรงงานเพื่อผลิตเม็มโมรี่ขนาด 256 -เค ซึ่งจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังวางแผนการผลิต เม็มโมรี่ขนาด 1 เมกาบิท (1 MEGABIT ในปลายปี 1986 ซึ่งช้ากว่าญี่ปุ่น 1 ปี

ทั้ง ๆที่รู้ว่าอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เอสเอสทีก็ยังท้าทายด้วยการประกาศทุ่มทุนอีก 570 ล้าน เหรียญ ใน 2 ปี ข้างหน้าเพื่อขยายโรงงานเซมิคอนดัคเตอร์อีก

ลี ยุง ชุล ( LEE BYUNG-CHULL) ประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทเอสอีซีกล่าวเมื่อวันเปิดโรงงานเอสเอสที ในปี 1983 ว่า "ผมมีความมั่นใจว่า อุตสาหกรรมทางด้านเซมิคอนดัคเตอร์ จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเศรษฐกิจของเกาหลีในอนาคต"

ชุง แจ อุน (CHUNG JAE-UN ) ประธานบริษัทเอสอีซี กล่าวเสริมว่า

"ในอนาคต การคมนาคมและคอมพิวเตอร์ก็คือสิ่งเดียวกัน โดยจะเชื่อมถึงกันด้วยเซมิคอนดัคเตอร์"

เอลี ฮาราริ ( ELLI HARARI) ประธานบริษัท เวเฟอร์สเกล อินทีเกรชั่น ( WAFERSCALE INTEGRATION ) ในเมืองเฟอร์มอนต์ (FERMONT) รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้กล่าวเตือนการทุ่มเงินของเอสอีซีว่า "คนญี่ปุ่นกำลังจะฆ่าคนเกาหลี สงครามระหว่าง 2 ประเทศนี้แม้จะไม่มีกระสุนปืนแต่ก็นองไปด้วยเลือด"

ทนายความอเมริกันคนหนึ่งในกรุงโซล เห็นด้วยกับความหวั่นวิตกของ อาลี ฮาราริได้กล่าวเสริมขึ้นว่า

"เซมิคอนดัคเตอร์เหมือนช้างเผือกเชือกใหญ่ ซัมซุงกำลังจะหมดตัวเพราะเรื่องนี้เพราะเอสเอสทีไม่มีทางกระโดดหลบรถไฟที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงและกำลังพุ่งเข้าชนได้พ้น พวกเขาไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทุ่มเงินลงไปในสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ล้าหลังในไม่ช้านี้"

อย่างไรก็ตาม เอสเอสทีก็ยังประคับประคองตัวเองอย่างสุดความสามารถและสามารถเข้าแข่งขันอยู่ในตลาดได้ บริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น แอปเปิล ( APPLES ) ไอบีเอ็ม (IBM ) และฮิวเลียตแพคการ์ด (HEWLETT-PACKARDS ) ยังสั่งซื้อสินค้าของเอสเอสทีอยู่ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตในสหรัฐไม่สามารถเข้าไปตีตลาดในยุโรปและอเมริกาได้เหมือนเอสเอสที

โรงงานสำหรับค้นคว้าวิจัยของเอสเอสทีอยู่ในสหรัฐ โดยจ้างชาวอเมริกันออกแบบสำหรับการผลิตแล้วนำแบบไปผลิตในเกาหลี สาขาของเอสเอสที ตั้งอยู่ที่ซานตา คลารา ( SANTA CLARA) แคลิฟอร์เนีย

นอกเหนือจากอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์แล้ว เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลสหรัฐพบว่า บริษัทเอสอีซีเป็นหนึ่งในสองของบริษัทเกาหลีที่ส่งโทรทัศน์สีเข้าไปขายในอเมริกา

เมื่อ 9 ปีก่อน ซัมซุงเข้าไปเป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ของฮิวเลียตแพคการ์ดในเกาหลี จนกระทั่งคอมพิวเตอร์ของฮิวเลียตฯ มีตลาดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าคอมพิวเตอร์ในตลาดเกาหลี เมื่อปีที่แล้วซัมซุงของเกาหลีและเฮชพี (ฮิวเลียตแพคการ์ด) ของอเมริกาได้ทำสัญญาร่วมกันในการประกอบและขายคอมพิวเตอร์ในเกาหลี

ประธานบริษัทเอสอีซี คือ ชุง รายงานว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างเป็นคอมพิวเตอร์ สำหรับเอเชีย เรียกว่า เอเชียน คอมพิวเตอร์ (ASIAN COMPUTER) โดยใช้แบบของเฮชพี แต่แปลเป็นภาษาต่างประเทศในเอเชีย

ซัมซุงเลียนแบบยุทธวิธีที่ญี่ปุ่นเคยใช้เมื่อ 30 ปี ก่อน คือ พยายามร่วมกับบริษัทต่าง ๆ เช่น จัดส่งชิ้นส่วนให้แก่กลุ่มผู้ผลิตนาฬิกาไซโกในญี่ปุ่น ร่วมผลิตหลอดภาพทีวีสีกับคอร์นนิ่ง แกลส เวิร์ด (CORNING GLASS WORKS) แห่งสหรัฐฯ และใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอาไก ( AKAI FLECTRIC) ของญี่ปุ่นในการผลิตหัวแม่เหล็กที่ใช้กับเครื่องวิดีโอเทป แต่ซัมซุงก็มีข้อแตกต่างจากญี่ปุ่นตรงที่ว่าในขณะที่ร่วมกับบริษัทต่างประเทศอื่น ๆ นั้น ซัมซุงก็บุกตลาดอิเลคโทรนิคส์และตลาดไฮเทค ( HIGHTECH) ไปด้วยพร้อม ๆ กัน

ปัจจุบันนี้สินค้าของซัมซุง ไม่ว่าจะเป็นเตาไมโครเวฟ ทีวีสี สเตอริโอ และวิดีโอเทป กำลังจะเป็นที่ติดปากของชาวอเมริกันเหมือนกับที่ยี่ห้อโซนี่ และไพโอเนียร์ ( PIONEER ) เคยเป็นมาแล้ว และก็กำลังจะติดปากผู้ซื้อในตลาดยุโรปในไม่ช้าเพราะขณะนี้ซัมซุงกำลังเริ่มลงมือตีตลาดเตาไมโครเวฟในอังกฤษแล้ว

เตาไมโครเวฟของซัมซุงตีตลาดในอเมริกาได้ โดยชนะคู่แข่งขันคือไมโครเวฟของญี่ปุ่นและ แม้กระทั่งของประเทศเจ้าบ้านเอง เมื่อปีที่แล้ว เตาไมโครเวฟของซัมซุงมียอดจำหน่ายแค่ที่ เจ.ซี. เพนนี ( J.C. PENNEY ) (ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ในอเมริกา) แห่งเดียวตกเข้าไป 600,000-700,000 เครื่อง ในปีนี้เอสอีซีจึงวางแผนที่จะส่งออก ทีวีสี เป็นมูลค่า 265 ล้านเหรียญ และส่งเตาไมโครเวฟออกให้ได้ มูลค่า 170 ล้านเหรียญ

การดำเนินธุรกิจด้านอิเลคโทรนิคส์ที่มีมูลค่าหลายพันเหรียญ จำเป็นต้องมีผู้บริหารที่มือถึง และบุคคลที่เหมาะสมสำหรับงานนี้คือ ชุง (CHUNG) ซึ่งเป็นลูกเขยของประธานกรรมการบริหาร ชุงมีประวัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มาก โดยจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเกาหลีคือเซอูลแนชชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้ ( SEOUL NATIONAL UNIVERSITY) ในปี 1950 ต่อมาเขาได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์คเป็นเวลา 9 ปี และเข้าทำงานกับ บริษัท เบชเทล ( BECHTEL CORP.) เป็นเวลา 4 ปี

ตัวชุงเอง ไม่ค่อยจะสบายใจนักเมื่อเข้ารับตำแหน่งนี้ใหม่ ๆ เพราะมีเสียงซุบซิบนินทาจากคนภายนอกว่าที่เขาได้รับตำแหน่งนี้ก็เพราะเป็นลูกเขยของผู้ยิ่งใหญ่ในบริษัท เข้าทำนองระบบเครือญาติเกื้อหนุน แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงเรื่องของคนปากอยู่ไม่สุขเท่านั้น เพราะคนในวงการธุรกิจหลายคนที่จับตาดูอยู่ ต่างก็ยอมรับว่าชุง มีความเหมาะสมที่จะบริหารงานนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารอเมริกาชมเชยว่า "การบริหารงานของชุงนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นบุคคลที่มีความสามารถสูงจริง ๆ"

ชุง เป็นคนหนุ่มวัย 46 ปี เขามีความเคารพนับถือประธานกรรมการบริหาร ผู้ก่อตั้งซัมซุง คือ ลี ( LEE) ชุงยกย่องลีเสมอ เขาเล่าว่า เวลาทำงานร่วมกับลีนั้น เขามีความรู้สึกเหมือนกับว่ายังเป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่

ประธานกรรมการบริหารของซัมซุง คือ ลี อายุ 75 ปีแล้ว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมาก พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องปรื๋อ และบินไปญี่ปุ่นปีละครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนนักธุรกิจชั้นนำ และปรึกษาหารือเพื่อ หาลู่ทางใหม่ ๆ

เอสอีซี มีระบบของตัวเองที่ไม่เหมือนบริษัทอื่น ๆ ในเกาหลี ลูกจ้างของเอสอีซีต้องแต่งตัวสุภาพเต็มยศตลอดเวลาที่ทำงาน จะเอาเนคไทออกไม่ได้ พนักงานทุกคนต้องตัดผมสั้น ใส่เสื้อขาว ผูกเนคไท ดูสุภาพเรียบร้อยและมีระเบียบ

ชุงพยายามให้ความใกล้ชิดกับพนักงานทุกคน และยึดคติของชายเกาหลีคือ ซื่อสัตย์และเชื่อฟัง ชุงประกาศให้ลูกน้องทุกคนฟังว่า "ทุกคนที่ซัมซุงมีสิทธิเท่าเทียมกัน" และใช้นโยบาย "OPEN DOOR" ให้พนักงานทุกคนมีสิทธิ์เข้ามาหาเขาในออฟฟิศเพื่อปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ของบริษัทได้ทุกเวลา ชุงบอกกับลูกน้องของเขาว่า "คนที่นี่ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงาน เราให้ความสุขทุกด้าน และมีความสัมพันธ์รวมไปถึงครอบครัวด้วย"

ระบบงานบริหารของซัมซุงเป็นที่โจษขานกันทั่วไปนักบริหารธุรกิจรถยนต์ชาวอเมริกันในกรุงโซลกล่าวว่า "ซัมซุงมีระบบบริหารงานที่ดีที่สุดในเมืองนี้"

โนมูระ (NOMURA) แห่งบริษัท มัทซูโมโต ( MATSUMOTO ) ถึงกับออกปากว่า "ผมอยากได้คนในกลุ่มของซัมซุงมาทำงานที่บริษัทผมบ้าง"

ฝ่ายที่มองซัมซุงไปอีกแง่หนึ่งก็มี กิม กี ซุก (KIM KI-SUK ) ผู้จัดการโรงแรมเวสต์เทิร์น โฮเต็ล ( WESTERN HOTEL) ในกรุงโซล ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำงานในซัมซุงตอนที่จบวิชาทหารมาใหม่ ๆ เล่าถึงประสบการณ์ในการฝึกงานในซัมซุงว่า เขากับเพื่อนร่วมรุ่นอีก 300 คน เข้ารับการปฐมนิเทศในตำแหน่งผู้จัดการในอนาคตหลักสูตร 1 เดือน

ในช่วงหนึ่งเดือนนั้น พวกเขาต้องทำงานหนักและใช้ความอดทนอย่างสูง ต้องนั่งฟังเล็คเชอร์ ที่น่าเบื่อหน่ายโดยไม่มีสิทธิ์ซักถามข้อข้องใจ และยังต้องออกกำลังกายในการวิ่งเป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร ทุกอาทิตย์

ขั้นตอนสุดท้ายของการปฐมนิเทศ พวกเขาเดินทางไปยังภูเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองโซลตอนดึกสงัด โดยได้รับไฟฉายคนละกระบอก เพื่อให้ส่องหาสัญลักษณ์ของบริษัทซัมซุง ซึ่งซ่อนอยู่ในบริเวณ ภูเขาแห่งนั้น

คิมคุยว่า สำหรับบางคนมันอาจจะหนักไปหน่อย โดยเฉพาะถ้าเป็นพวกที่จบมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ แต่สำหรับเขา ไม่มีปัญหา เพราะเคยชินจากการฝึกหนักเมื่อครั้งเป็นนักเรียนทหาร

แต่คิมก็ลาออกจากซัมซุงหลังจากเข้าทำงานได้ 2 ปี เหตุผลก็คือ

"จริงอยู่ ซัมซุงเปิดโอกาสให้ลูกจ้างทุกคนถีบตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารได้ แต่ว่างานมันหนักเกินไป มันแพงไปสำหรับชีวิตวัยหนุ่มที่จะต้องถูกขโมยไปด้วยการทุ่มเทให้กับงานขนาดนั้น คิดดูซิ ต้องทำงานหนักวันละ 12 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 6 วัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนงานแทบไม่มีเลย เพราะทุกคนพุ่งความภักดีที่องค์การหมด ทุกคนกลายเป็นลูกจ้างของซัมซุง แม้แต่ภรรยาก็ต้องมีส่วนยอมรับบริษัทเข้าไปในชีวิตประจำวันด้วย ทุกคนต้องซื้อสินค้าของซัมซุง และต้องมีความภาคภูมิใจที่เป็นหนึ่งในครอบครัวของซัมซุง รวมทั้งต้องไม่บ่นว่าสามีกลับบ้านดึก

ซัมซุงมีวิธีป้องกันการสไตรค์ โดยไม่อนุญาตให้มีสหภาพแรงงานในบริษัท แต่มีระบบให้คนงานมีส่วนร่วมในการบริหาร ซึ่ง ชุง กล่าวว่ามันดีกว่าสหภาพตัวเขาเองพยายามใกล้ชิดกับคนงาน และกล้าประกาศว่า "ค่าจ้างและสวัสดิการของเราสูงที่สุด เรามักจะพิจารณาถึงตัวลูกจ้างก่อนเพื่อน และพวกเราก็รักกันดี"
บันทึกการเข้า

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
bill
Sr. Member
****

like: 31
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1927


แอตแลนติส


อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 06:30:12 pm »

โอ้ยตาลายเรื่องสองไว้พรุ่งนี้ละกัน โอ๊ยมึน
บันทึกการเข้า
thekop07
Hero Member
*****

like: 200
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8439


« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 06:34:53 pm »

สอนคนให้รักครอบครัว ครอบครัวคือพื้นฐานที่สำคัญของชีวิต

ยอดเยี่ยมเลยครับ  good good สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
focusjung1 ID.434
Jr. Member
**

like: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 967


น๊อต กำแพงเพชร/ อํ๊ยย่ะ 30 ครับผม


อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 07:19:20 pm »

น้ำตาไหลไม่หยุดอ่ะ ซึ้งมาก Cry Cry Cry Cry
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2006-2009, Simple Machines
by Pajerosport-Thailand TEAM
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.074 วินาที กับ 20 คำสั่ง