Languages
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอเชิญสมาชิกชาวปาเจโรมาขึ้นไดโนรอบสองกันครับ 27ตุลาคม2555 @ L Testcar  (อ่าน 33129 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Spjs
Jr. Member
**

like: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 471


อีเมล์
« ตอบ #30 เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 09:19:26 pm »

อยากไปเหมือนกันแต่รถไม่แรง

นี่สิครับตัวจริง 55+

ป๋าบอยก็เกินไป eieมีแรงกว่าผมอีกเยอะ
บันทึกการเข้า

Spjs 0094 เอสครับ
focusjung1 ID.434
Jr. Member
**

like: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 967


น๊อต กำแพงเพชร/ อํ๊ยย่ะ 30 ครับผม


อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 10:17:02 pm »

แอบดูรถแรงคุยกัน 
บันทึกการเข้า
jib and bim
Hero Member
*****

like: 31
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2288



« ตอบ #32 เมื่อ: กันยายน 28, 2012, 10:45:31 am »

หวัดดีครับป๋าบอย 

 hi หวัดดีคร้าบบ

เหลือเวลาอีก1เดือนเต็มๆ
จูนเก็บทำเพิ่มอะไรกันให้เต็มที่เลยนะครับ อิอิ
งานนี้ใครได้น้อยกว่า200ม้า500นิว ต้องคุยด้วยหน่อยแล้ว 55+
ง่ะ...ผมน้อยสุดแน่เลย extreme sexy girl extreme sexy girl extreme sexy girl

ไม่จูนได้มะป๋าไปแบบดิบๆ
บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #33 เมื่อ: กันยายน 28, 2012, 05:29:05 pm »

ล้อเล่นคร้าบ รถบ้านๆแตนๆเดิมๆก็มาได้คร้าบ อิอิ
เที่ยงคืนนี้ปิดโหวตแล้วนะคร้าบ
ร้านเขาปิดวันอาทิตย์นะคร้าบ แอบเห็นใครมาโหวตวันที่28เพิ่ม 55+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2012, 12:16:52 am โดย chanavorn » บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #34 เมื่อ: กันยายน 28, 2012, 11:00:20 pm »

อีก1ชั่วโมงจะปิดการโหวตคร้าบ  u
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2012, 12:16:44 am โดย chanavorn » บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #35 เมื่อ: กันยายน 29, 2012, 12:12:05 am »

ปิดการโหวตวันขึ้นไดโนครั้งที่2แล้วนะครับ
สรุปผลโหวต มีสมาชิกโหวต10ท่าน
30กันยายน2555 1ท่าน
6ตุลาคม2555 1ท่าน
7ตุลาคม2555 1 ท่าน
27ตุลาคม2555 5ท่าน
28ตุลาคม2555 2ท่าน
ซึ่งผลโหวตมีคะแนนเสียง50%เป็นวันเสาร์ที่27ตุลาคม2555

กำหนดการอย่างเป็นทางการ
วันเสาร์ที่27ตุลาคม2555 เวลา1300-1700
สถานที่ L Testcar ถนนศรีนครินทร์
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 7000บาท ราคาต่อคัน450บาท

ขอขอบคุณ ทุกท่านที่ให้ความสนใจและให้ความร่วมมือครับ
ตอนนี้ท่านใดยังมีความสนใจ ยังสามารถแจ้งชื่อได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2012, 12:16:34 am โดย chanavorn » บันทึกการเข้า
chan
Jr. Member
**

like: 12
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 337



« ตอบ #36 เมื่อ: กันยายน 29, 2012, 09:20:32 am »

ตอนนี้ได้กี่คันแล้วครับ Cheesy
บันทึกการเข้า

ไปให้สุดแล้ว.......หยุดที่คำว่าพอ.....
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #37 เมื่อ: กันยายน 29, 2012, 11:34:26 am »

ตอนนี้มีปาเจโรเรา10ท่านครับ
ไทรทันคลับ6คัน
แต่ยังไม่แน่นอนครับว่าวันจริงจะมากันครบรึเปล่า
เลยจะเปิดรับรายชื่อให้ถึง20คันครับ
บันทึกการเข้า
Spjs
Jr. Member
**

like: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 471


อีเมล์
« ตอบ #38 เมื่อ: กันยายน 29, 2012, 09:09:31 pm »

ป๋าบอยครับไม่แน่แชมป์openอาจจะไปด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า

Spjs 0094 เอสครับ
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #39 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 01:38:57 am »

ยินดีคร้าบ ถ้ายืนยันแล้วรบกวนแจ้งหน่อยนะคร้าบ
บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #40 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 01:45:18 am »

เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆสำหรับการทดสอบแรงม้าครับ




       แรงม้า (Horse Power) คือ หน่วยอันหนึ่งสำหรับใช้วัดกำลังของเครื่องยนต์ หน่วยวัดกำลังที่นิยมใช้กัน คือแรงม้า (HP),แรงม้า (PS) และ กิโลวัตต์ (KW)นอกจากนี้ในบางครั้งเราจะเห็นตัวย่อ BHP ซึ่งย่อมาจาก Brake Horse Power หมายถึง กำลังของเครื่องยนต์ที่ได้รับจากเพลาเครื่อง ซึ่งเท่ากับกำลังที่เครื่องยนต์ผลิตได้หักออก ด้วยแรงเสียดทานภายเครื่องยนต์ ดัง สูตร BHP = IHP - FHP โดยที่ IHP คือ Indicated Horse Power หมายถึงกำลังที่เครื่องยนต์ผลิตได้ และ FHP คือ Friction Horse Power ซึ่งหมายถึงแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ กำลังของเครื่องยนต์สามารถคำนวณได้จากสูตรHP = K x Torque x RPM โดยที่ K คือ ค่าคงที่ T คือแรงบิด และ RPM คือความเร็วรอบของเครื่องยนต์แรงม้าสูงสุดของเครื่องยนต์แต่ละรุ่นแต่ละแบบจะอยู่ที่ ความเร็วรอบเครื่องยนต์แตกต่างกันไปแล้วแต่การออกแบบของผู้ผลิต แล้วแรงม้าเห็นกันในหนังสือ หรือใน specification ต่างๆ นั้นเป็น BHP หรือ IHP คำตอบน่าจะเป็นBHP เพราะเป็นแรงม้าที่ได้มาจากการทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์

        แรงม้า (Horse Power) คือ หน่วยอันหนึ่งสำหรับ ใช้วัดกำลังของเครื่องยนต์ หน่วยวัดกำลังที่นิยมใช้กัน คือ แรงม้า (HP),แรงม้า (PS) และ กิโลวัตต์ (KW)นอกจากนี้ ในบางครั้งเราจะเห็นตัวย่อ BHP ซึ่งย่อมาจาก Brake Horse Power หมายถึง กำลังของเครื่องยนต์ที่ได้รับจากเพลาเครื่อง ซึ่งเท่ากับกำลังที่เครื่องยนต์ผลิตได้หักออก ด้วยแรงเสียดทานภายเครื่องยนต์ ดัง สูตร BHP = IHP - FHP โดยที่ IHP คือ Indicated Horse Power หมายถึงกำลัง ที่เครื่องยนต์ผลิตได้ และ FHP คือ Friction Horse Power ซึ่งหมายถึงแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ กำลังของเครื่องยนต์สามารถคำนวณได้จากสูตร HP = K x Torque x RPM โดยที่ K คือ ค่าคงที่ T คือแรงบิด และ RPM คือความเร็วรอบของเครื่องยนต์ แรงม้าสูงสุดของเครื่องยนต์แต่ละรุ่นแต่ละแบบจะอยู่ที่ ความเร็วรอบเครื่องยนต์แตกต่างกันไปแล้วแต่การ ออกแบบของผู้ผลิต แล้วแรงม้าเห็นกันในหนังสือ หรือใน specification ต่างๆ นั้นเป็น BHP หรือ IHP คำตอบน่าจะเป็นBHP เพราะเป็นแรงม้าที่ได้มาจากการทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ แรงม้าสูงสุดจะอยู่ที่ความเร็วรอบสูงกว่าความเร็วรอบที่มี แรงบิดสูงสุดเสมอจากที่แรงบิดของเครื่องยนต์จะแสดงถึงอัตราเร่ง แรงม้าของเครื่องยนต์ก็จะแสดงถึงความเร็วสูงสุดของรถ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเอาชนะแรงเสียดทาน และ แรงต้านของอากาศ ที่จะมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ (อัตราความเร็วยกกำลังสอง)เมื่อความเร็วสูงขึ้น จากสูตรคำนวณแรงม้าจะเห็นได้ว่า สำหรับเครื่องยนต์ที่มี ขนาดเท่าๆ กัน เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดที่รอบต่ำจะมี แนวโน้มที่จะมีแรงม้าสูงสุด ต่ำกว่า เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดที่รอบสูงกว่า แต่ถ้าต้องการให้มีทั้งแรงบิดและ แรงม้ามากขึ้น ก็จะต้องเป็นเครื่องยนต์ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า หรือ เป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือ มีการติดตั้ง อุปกรณ์อื่นเพิ่ม เช่น turbocharger supercharger ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าราคาของเครื่องยนต์จะสูงขึ้น ค่าใช้จ่าย ในการซ่อมบำรุงก็จะสูงขึ้น และ มักจะต้องจ่ายค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย

1 HP = 1.014 PS

HP{Horse Power} เริ่มใน ศตวรรษที่ 19 ของเยอรมนี แล้วนิยมใช้ไปทั้งยุโรป และ เอเซีย
PS{Pferdestärke = horse strength } ยังคงมีใช้ในทั้งยุโรป ทวีปอเมริกา ญี่ปุ่น และอินเดีย


http://www.siamspeed.com/index.php?topic=111141.0
บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #41 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 01:47:40 am »

สงสัยเรื่องการวัดแรงม้าของรถยนต์ครับ



คืออ่านในหนังสือรถทั่วๆไป เห็นว่าเวลาเค้าไปขึ้นไดโน วัดแรงม้ากัน ทำไมถึงต้องวัดที่เกียร์ สี่ ครับ มันมีอะไรดีหรือที่เกียร์นั้น   ทำไมถึงไม่วัดที่เกียร์สูงสุด แล้วถ้าวัดที่เกียร์ห้า หรือ หก  จะมีอะไรต่างกันไหมครับ แล้วยังงี้เกียร์ออโต้ที่มีมากกว่าสี่เกียร์ เช่น ห้า หรือ หก เกียร์ เค้าจะต้องล็อกที่เกียร์สี่อีกไหมครับ     สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณครับ


เค้าเลือกเพราะ  อัตราทดเกียร์  ครับ
ส่วนใหญ่เกียร์สี่ จะมีอัตราทด 1.000 : 1อ่ะครับ
ถ้าเกียร์ออโตก็คล้ายกันครับ เกียร์สาม
มันจะมีอัตราทด 1.000 : 1  กันเป็นส่วนใหญ่ครับ
ส่วนเกียร์ธรรมดา - ออโต ที่มีอัตราทดมาก
กว่าทั่วไป ก็เหมือนกันครับ เค้าก็จะพยายามเลือก
เกียร์ที่มีอัตราทด 1 ต่อ 1 ครับ
อัตราทด 1 ต่อ 1 คือ เครื่องยนต์หมุนมากี่รอบ
เกียร์ก็จะไม่ช่วยทด เพิ่ม หรือ ลด รอบแต่อย่างใด
เพลากลางก็จะหมุนด้วยความเร็วรอบที่เท่ากับเครื่องยนต์


http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2007/08/V5702010/V5702010.html
บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #42 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 01:50:41 am »

ชุดทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ด้วยไดนาโมมิเตอร์

 
แรงม้า(Horsepower; hp) เป็นหน่วยวัดมาตรฐานของกำลังงานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เมื่อนักประดิษฐ์คือนายเจมส์วัตต์ ได้ค้นพบเครื่องจักรไอน้ำ โดยวัตต์ได้กำหนดว่า 1 แรงม้า = พลังงานที่ต้องการยกวัตถุหนัก 33,000 ปอนด์ สูง 1 ฟุต ใน 1 นาที หรือ 550 ปอนด์ สูง 1 ฟุต ใน 1 วินาที
 
รายละเอียดในการทดสอบ

1. หลักการทดสอบ
ครื่องทดสอบสามารถวัดค่าได้โดย Torsion Meter โดยรถจะเข้าไปขับเคลื่อนบนลูกกลิ้ง ( Rollers) แล้วแสดงค่าการทดสอบบนหน้าจอในเครื่องทดสอบตัว Rollers จะถูกขับเคลื่อนโดยล้อรถยนต์ (ตัวลูกกลิ้งจะต่ออยู่กับ Cddy Current Brake) และเมื่อ Electric Brake ทำงานจะเกิดแรงที่กระทำระหว่างล้อ และลูกกลิ้ง ซึ่งจะเกิดเป็นแรงที่กระทำ (Traction Force) ที่เกิดจาก Torque ที่แปลผันจากตัว Rollers ไปที่เบรกและส่งไปที่ Straingauge Senser (DMS) ที่ Brake Lever Force จะทำงานร่วมกับ Rollers Speed ให้กลายเป็นค่า Wheel Power

2. ขั้นตอนในการวัดและทดสอบ

2.1 ขั้นตอนทั่วไป
หลังจากเปิดเมนสวิตช์ และเครื่องเริ่มทำงาน(ตรวจสอบระบบเรียบร้อยแล้ว) เครื่องพร้อมที่จะทดสอบ ตัวเครื่องทดสอบติดอุปกรณ์ Loos Power (เป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษ) ต้องเปิดสวิตช์ที่ Frequency Transformer ถึงจะทำรีโมทคอนโทรลสามารถเลือกโหมดต่างๆ ได้ เพื่อทดสอบ Wheel Power และ Loos Power สามารถเลือกในโหมดของ Constant Speed (C-V) หรือ (Constant Traction Force (C-F) ถ้าเลือกโหมด C-V สามารถปรับรีโหมดไปที่ Max ถ้าเลือกโหมด C-F ให้ปรับค่าไปที่ 0 สวิตช์ระหว่างเวลาที่วิ่งอยู่ Roller ไม่เกิดปัญหา Roller (ล้อ) จะหยุดหมุนทันที

2.2 โหมดการทำงาน C-V

โหมดนี้เป็นการทดสอบที่วัดหากำลังของเครื่องยนต์ (Power) ที่เปลี่ยนแปลงตามความเร็วรอบเครื่องยนต์
ข้อควรจำ : ที่ตำแหน่งเกียร์+และเกียร์จากการทดสอบ Power จะเกิดแรงกดไปที่ยางถ้าขับด้วยความเร็วสูง Force จะน้อย (และยางจะเกิดแรงกด)ขับรถช้าๆให้ความเร็วค่อยๆขึ้นไปที่ 10 km/h ให้รถอยู่ตรงแนวกึ่งกลาง ถ้ารถขับเคลื่อนล้อหน้าให้ดึงเบรคมือทำการเร่งความเร็วและเปลี่ยนเกียร์ ที่ความเร็วคงที่ (ตามระบบของเครื่องยนต์) ดูค่ากำลัง (kW) เพิ่มความเร็วทีละน้อยให้ความเร็วรอบเครื่องค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนได้ความเร็วตามต้องการแล้วคงความเร็วไว้ หมุนปุ่ม Regulator กับช้าๆ แล้วดูค่ากำลัง (kW) และค่อย ๆ ปรับ Regulator ทีละน้อย แต่ความเร็วต้องคงที่ กดรันเร่งลงไปช้า ๆ จนหยุดและอยู่นิ่งไว้ กำลังจะเพิ่มขึ้นจนสุดกำลังของเครื่องยนต์ จะทำการบันทึกและอ่านค่าได้ใน 1-2 วินาที ดูค่ากำลังสูงสุด (Wheel Power) ที่ความเร็ว (หรือรอบเครื่องยนต์) ที่จุด (รอบ) กำลังสูงสุดถ้าที่ตำแหน่ง (ความเร็ว) สูงสุดของกำลังรถยนต์โดยไม่รู้ค่ากำลังของรถยนต์ที่แน่นอนให้ทดสอบไป จนถึงกำลังที่สูงสุด แต่การทำสอบโดยทั่วไปจะทดสอบที่ความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด เพื่อหาประสิทธิภาพของรถยนต์ และให้ลดความเร็วเหลือ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และดูกำลังสูงของรถยนต์ โดยใช้ขั้นตอนต่าง ๆ ตามขั้นตอนการทำงานทดสอบเบื้องต้น

ข้อควรระวังในการทดสอบ : ตรวจเช็คยางและอุณหภูมิก่อนการทดสอบ ใช้พัดลมระบายความร้อน ช่วย ระบายความร้อนให้อุณหภูมิเครื่องยนต์เวลาที่เปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายหลังจากการทดสอบเสร็จแล้ว ให้เบาเครื่องยนต์และลดความเร็วลงให้ความเร็วเหลือ 10-20 km / hr เพื่อให้ความร้อนของเครื่องค่อย ๆ ลดลง ถ้ายางรถยนต์ร้อนจะติดกับหน้าสัมผัสของ rollers หน้าสัมผัสสามารถเช็คได้ โดยใช้อุปกรณ์เสริมพิเศษ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ

ข้อควรจำ : ถ้าต้องการเช็คค่าต่าง ๆ และเก็บข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ (อุปกรณ์พิเศษคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลทันทีที่ทดสอบโดยสั่งงานที่รีโมรดคอนโทรล โดยจะแสดงเป็นกราฟ)

2.3 การทำงานในโหมด C-F

จากที่ทำการวัดกำลังสูงสุดที่ออกมาแล้วนั้นยังมีโปรแกรมอื่น ๆ อีก โดยในโหมดที่ตำแหน่ง C-F และการวัดปกติที่ตำแหน่ง 0 ขับรถขึ้นไปบน Rollers และยึดรถด้วยเครื่องมือยึดรถยนต์ เร่งความเร็วขึ้น (รองเครื่องยนต์) เมื่อถึงกำลังสูงสุด (ทำการเก็บข้อมูลรถ) ปรับ Regulator ไปที่ maximum direction เริ่มวัดความเร็วที่ตกลงให้ปรับความเร็วโดยกดคันเร่งช้า ๆ ลงไปจนสุดและหยุดค้างไว้ ที่ความเร่งคงที่ ค่าจะโชว์กำลังสูงสุด (รอบสูงสุด) ในโหมดนี้จะเป็นจุดที่ต้องการวัดในแบบอัตโนมัติทั้งหมด

2.4 การทำงานในโหมด Zyklus

เป็นโหมดการทำงานที่ทำไว้สำหรับต่อการอุปกรณ์ พิเศษในการทำสอบ Loads ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาโดยจะทำงานรวมกับคอมพิวเตอร์



http://202.28.32.232/WBI/n-wbi/lesson02/page3.htm
บันทึกการเข้า
chanavorn
Jr. Member
**

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 947



อีเมล์
« ตอบ #43 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 02:02:18 am »

รู้จัก DYNO กันดีหรือยัง ?





DYNO ชื่อเสียงนี้อาจคุ้นเคยกับแวดวงของเหล่าสาวกซิ่งทางเรียบซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ แต่ DYNO คือชื่อเรียกขานของเครื่องมือวัดประสิทธิภาพ และสมรรถนะของเครื่องยนต์ ภายใต้ชื่อ DYNAMOMETER
หรือถ้าจะให้เข้าใจกันง่ายยิ่งขึ้นก็คือ เครื่องมือทดสอบวัดค่าแรงม้า และแรงบิดของเครื่องยนต์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรถยนต์ออฟโรดด้วยน่ะเหรอครับ ก็เกี่ยวน่ะสิ เพราะรถยนต์ออฟโรดก็คือยานยนต์ประเภทหนึ่งเหมือนกัน แต่สามารถพาผู้ขับขี่ และผู้โดยสารถึงจุดหมายในเส้นทางที่หลากหลายได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

เอาให้ใกล้ตัวเข้ามาอีก สำหรับการตกแต่งรถยนต์ออฟโรดในปัจจุบัน จะพบว่าเรื่องของสมรรถนะความแรงเครื่องยนต์ ถือเป็นปัจจัยต้นๆ ของการปรับแต่งรถยนต์ออฟโรดให้กลายเป็นนักปีน–ไต่ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อหลายสำนักได้ทำการตกแต่งเจ้าอสูรกายตัวเก่งของตนออกอวดโฉม ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยวป่า หรือเพื่อการแข่งขัน การนำรถไปลองขึ้นทดสอบวัดค่าแรงม้า และแรงบิดนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ของการได้เปรียบคู่แข่ง เพราะนอกจากเราจะได้ทราบถึงน้ำหนักรวมของรถที่ได้ทำการตกแต่ง ทราบน้ำหนักบาลานซ์ของรถทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เรายังจะได้ทราบว่าพละกำลังของรถยนต์ที่ได้ทำการตกแต่งไปนั้น จะสามารถถ่ายทอดเรี่ยวแรงลงสู่พื้นเพื่อใช้งานได้จริงสักเท่าไหร่กัน สำหรับเจ้าเครื่อง DYNO นี้ ที่นิยมจะมีอยู่ด้วยกันอยู่ 3 ลักษณะ/ชนิด คือ

1. เครื่องวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ทั้งหมดโดยใช้วิธีการวัดแรงที่ถ่ายทอดทั้งหมดจากเครื่องยนต์โดยตรง หรือ ENGINE DYNO ส่วนใหญ่ที่ใช้กันตามสำนักแต่งดังๆ ในต่างประเทศ หรือตามโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ สำหรับเพื่อใช้ในการสร้าง และทดสอบเครื่องยนต์ ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์วัดในลักษณะนี้ โดยทั่วไปจะใช้ในการบอกค่าทั้งหมดสำหรับแจ้งให้ผู้บริโภคทราบตอนที่เราซื้อรถใหม่กันนั้นแหละ ก็คือ ค่าที่วัดจากเครื่องนี้ จะวัดแรงม้า และแรงบิดที่ได้จาก Flywheel โดยตรง ไม่ได้ทำการวัดค่ากำลังทั้งหมดของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดลงสู่ล้อ หรือลงพื้น
กราฟแสดงค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบ ENGINE DYNO หรือ CHASSIS DYNO การบอกค่าของแรงม้าจะมีอยู่สองแบบ คือ SAE และ BHP จะพบว่าการแสดงค่าแรงม้าของเครื่องนี้จะอยู่ด้านซ้าย ส่วนรอบเครื่องยนต์อยู่ด้านล่าง และการบอกค่าแรงบิดจะอยู่ด้านขวา ได้ค่าที่ชัดเจน และเป็นจริงไม่ต้องคาดกะให้ปวดหัว

2. เครื่องวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ทั้งหมดโดยใช้วิธีการวัดแรงที่ถ่ายทอดทั้งหมดลงสู่ล้อ หรือที่เรียกกันว่า CHASSIS DYNO จะใช้การเอาแรงเฉื่อยของการหมุนล้อรถไปยังลูกกลิ้ง ซึ่งก็มีอีกว่าจะเป็นแบบ 1 หรือ 2 ลูก หรือว่า วัดแบบได้ทั้ง 2 ล้อหรือว่าทั้ง 4 ล้อ ซึ่งพวกขับ 4 ล้อก็ต้องหา DYNO ที่วัดแบบมีลูกกลิ้ง 2 ชุด ส่วนใหญ่ในบ้านเราจะนิยมการวัดแบบ CHASSIS DYNO เป็นส่วนใหญ่ จึงจะสังเกตง่ายๆ ว่าทำไม เวลาโรงงานแจ้งว่าแรงม้าแรงบิดได้มาเท่าไหร่ แต่เมื่อไปวัดแรงม้าแรงบิดกลับได้ออกมาต่ำกว่าที่เค้าแจ้งไว้ ก็เพราะว่า เค้าวัดกันคนละจุดกันนะครับ เอาเป็นว่าพอถึงตรงนี้ก็คงพอเข้าใจได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วนะครับ ไปกันต่อ

3. เครื่องวัดที่วัดแรงจากที่ล้อคล้ายกับแบบที่ 2 แต่แบบนี้จะต้องถอดยางออกก่อนแล้วใส่อุปกรณ์ ADAPTER เพื่อยึดกับดุมล้อโดยตรงแล้ววัดแบบนี้จะทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องของการลื่นของยางหรือ SLIP
เครื่องวัดแบบ CHASSIS DYNO สามารถเลือกวัดค่าได้ทั้งรถแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ การวัดค่าจะแยกส่วนอย่างชัดเจนที่ล้อทั้ง 4 และสามารถปรับตั้งระยะฐานล้อให้เหมาะสมกับความยาวของรถได้ด้วยการสไลด์



เมื่อเราได้ทำความรู้จัก และเข้าใจถึงรูปแบบ วิธีการวัดค่าของเครื่อง DYNAMOMETER กันเป็นพอเข้าใจ คราวนี้มาดูกันต่ออีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ เมื่อเราต้องการทราบเรี่ยวแรงของเจ้าออฟโรดคันเก่งของเรา ว่า ตอนนี้มีมัดกล้ามที่จะไปอวดเบ่งต่อกรกับเพื่อนฝูงอยู่กี่มากน้อย นั่นคือ เรื่องของการอ่านค่าของเจ้าเครื่องนี้ เขามีการบอกหน่วยกันอย่างไร ซึ่งหน่วยการวัดที่นิยมจะมีดังนี้ คือ

1. SAE Horsepower เป็นหน่วยของการวัดค่าแรงม้าที่ลงพื้น คือค่าที่ลงขึ้นผ่านชุดขับเคลื่อน ไปยังล้อ MAG และ ยาง อะไรประมาณนั้นนะครับ

2. BHP จะเป็นหน่วยของการวัดค่าจาก FLYWHEEL ไม่ผ่านชุดขับเคลื่อน ดังนั้นค่าที่วัดได้จะได้มากกว่าประมาณ 10%-15% เมื่อเทียบกับ SAE
สำหรับในบ้านเราเมืองไทยของเราที่เห็นๆ กันหลายๆ ที่จะเป็น CHASSIS DYNO ทั้งหมด แต่จะวัดค่าและแสดงผลออกมาเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ SAE และ BHP ครับ
- POWER LAB ถ.วิภาวดี ที่นิยมวัดกันมากที่สุดเนื่องจากค่าออกมาเป็น BHP วัดได้ ทั้งขับสอง และขับสี่ อีกทั้งยังมีกราฟของอัตราส่วนอากาศและน้ำมันพร้อมระดับบูสธ์ของ turbo ประกอบทุกรอบของรอบเครื่องยนต์ ทำให้สามารถเช็ครถปรับปรุงข้อผิดพลาดได้
- STRYDER บางนา (ค่าออกมาเป็น SAE HP)
- DYNOJET BY WORLD TEC อ่อนนุช (ค่าออกมาเป็นที่ล้อ SAE HP)
- SIGNAL THAILAND รามคำแหง (ค่าออกมาเป็นSAE ที่ล้อ)
เครื่องวัดแบบ CHASSIS DYNO ในส่วนของชุดล้อวัดจะต่อเข้ากับชุดเซ็นเซอร์ พร้อมมีชุดหน่วงเพื่อหยุดแรงเฉื่อยของล้อหลังการวัดค่า การติดตั้งสามารถติดตั้งทั้งแบบฝังพื้น หรือแบบลอยบนแท่นวัด แต่การติดตั้งต้องอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นโลกเท่านั้น

จุดประสงค์ของการวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์นั้น ถ้าจะพิจารณาการวัดสมรรถนะสำหรับรถยนต์ออฟโรดนั้น นอกเหนือจากเรื่องของการได้ทราบถึงค่าแรงม้า และแรงบิดของรถที่ได้ทำการปรับแต่ง โมดิฟาย หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ (โดยเฉพาะการวัดค่าที่ได้จากการถ่ายทอดลงสู่พื้น) การขึ้น DYNO ยังช่วยบอกถึงประสิทธิภาพของการปรับแต่งระบบส่งกำลัง ว่า มีอัตราทดที่เหมาะสม ลงตัวกับการตกแต่ง และเป็นไปตามความต้องการเพื่อการใช้งานของรถที่ได้ทำการตกแต่งลงไปรึเปล่า นอกจากนี้ การขึ้น DYNO ยังสามารถบอกสมรรถนะของรอบความเร็วเกียร์ในแต่ละสปีดมีความสัมพันธ์กับเครื่องยนต์เพียงไร

แม้จะหาเครื่อง DYNO สำหรับวัดค่าเจ้าออฟโรดคันเก่งตัวชูโรงร่างโตกันยากสักหน่อย เนื่องจากเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ อีกทั้งยังมีขนาดยางที่ใหญ่เอาเรื่อง ดังนั้นควรลองติดต่อสอบถามศูนย์ให้บริการนั้นๆ เป็นข้อมูลก่อนว่า สามารถรองรับการทดสอบรถของเราได้หรือไม่ (กันการเสียเที่ยว) ทีนี้เรื่องการปรับเซ็ตรถออฟโรดแบบบิ๊กโปรเจ็คก็มีผู้ช่วยไขความกระจ่างกันแล้ว ไม่ต้องใช้วิศวะกะกันให้มึนสับสน
เครื่องวัดบางรุ่นจะพัฒนาให้สามารถบอกได้ทั้งค่าแรงบิดที่ได้จากฟลายวีลล์ และค่าของแรงม้าที่ถ่ายทอดลงสู่ล้อ ช่วยให้ทราบถึงโหลดที่สูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ก่อนถ่ายทอดลงสู่พื้น ช่วยวิเคราะห์ และหาจุดแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น




http://grandprixgroup.com/offroadmag/site/?p=10735
บันทึกการเข้า
TU MAI MITSU
Newbie
*

like: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8


« ตอบ #44 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 04:40:34 pm »

 ยอดเยี่ยม u
     อยาก test ด้วย ครับ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร ครับ     ยอดเยี่ยม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2006-2009, Simple Machines
by Pajerosport-Thailand TEAM
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.057 วินาที กับ 21 คำสั่ง