รู้จัก DYNO กันดีหรือยัง ?DYNO ชื่อเสียงนี้อาจคุ้นเคยกับแวดวงของเหล่าสาวกซิ่งทางเรียบซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ แต่ DYNO คือชื่อเรียกขานของเครื่องมือวัดประสิทธิภาพ และสมรรถนะของเครื่องยนต์ ภายใต้ชื่อ DYNAMOMETER
หรือถ้าจะให้เข้าใจกันง่ายยิ่งขึ้นก็คือ เครื่องมือทดสอบวัดค่าแรงม้า และแรงบิดของเครื่องยนต์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรถยนต์ออฟโรดด้วยน่ะเหรอครับ ก็เกี่ยวน่ะสิ เพราะรถยนต์ออฟโรดก็คือยานยนต์ประเภทหนึ่งเหมือนกัน แต่สามารถพาผู้ขับขี่ และผู้โดยสารถึงจุดหมายในเส้นทางที่หลากหลายได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เอาให้ใกล้ตัวเข้ามาอีก สำหรับการตกแต่งรถยนต์ออฟโรดในปัจจุบัน จะพบว่าเรื่องของสมรรถนะความแรงเครื่องยนต์ ถือเป็นปัจจัยต้นๆ ของการปรับแต่งรถยนต์ออฟโรดให้กลายเป็นนักปีน–ไต่ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อหลายสำนักได้ทำการตกแต่งเจ้าอสูรกายตัวเก่งของตนออกอวดโฉม ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยวป่า หรือเพื่อการแข่งขัน การนำรถไปลองขึ้นทดสอบวัดค่าแรงม้า และแรงบิดนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ของการได้เปรียบคู่แข่ง เพราะนอกจากเราจะได้ทราบถึงน้ำหนักรวมของรถที่ได้ทำการตกแต่ง ทราบน้ำหนักบาลานซ์ของรถทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เรายังจะได้ทราบว่าพละกำลังของรถยนต์ที่ได้ทำการตกแต่งไปนั้น จะสามารถถ่ายทอดเรี่ยวแรงลงสู่พื้นเพื่อใช้งานได้จริงสักเท่าไหร่กัน สำหรับเจ้าเครื่อง DYNO นี้ ที่นิยมจะมีอยู่ด้วยกันอยู่ 3 ลักษณะ/ชนิด คือ
1. เครื่องวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ทั้งหมดโดยใช้วิธีการวัดแรงที่ถ่ายทอดทั้งหมดจากเครื่องยนต์โดยตรง หรือ ENGINE DYNO ส่วนใหญ่ที่ใช้กันตามสำนักแต่งดังๆ ในต่างประเทศ หรือตามโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ สำหรับเพื่อใช้ในการสร้าง และทดสอบเครื่องยนต์ ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์วัดในลักษณะนี้ โดยทั่วไปจะใช้ในการบอกค่าทั้งหมดสำหรับแจ้งให้ผู้บริโภคทราบตอนที่เราซื้อรถใหม่กันนั้นแหละ ก็คือ ค่าที่วัดจากเครื่องนี้ จะวัดแรงม้า และแรงบิดที่ได้จาก Flywheel โดยตรง ไม่ได้ทำการวัดค่ากำลังทั้งหมดของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดลงสู่ล้อ หรือลงพื้น
กราฟแสดงค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบ ENGINE DYNO หรือ CHASSIS DYNO การบอกค่าของแรงม้าจะมีอยู่สองแบบ คือ SAE และ BHP จะพบว่าการแสดงค่าแรงม้าของเครื่องนี้จะอยู่ด้านซ้าย ส่วนรอบเครื่องยนต์อยู่ด้านล่าง และการบอกค่าแรงบิดจะอยู่ด้านขวา ได้ค่าที่ชัดเจน และเป็นจริงไม่ต้องคาดกะให้ปวดหัว
2. เครื่องวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์ทั้งหมดโดยใช้วิธีการวัดแรงที่ถ่ายทอดทั้งหมดลงสู่ล้อ หรือที่เรียกกันว่า CHASSIS DYNO จะใช้การเอาแรงเฉื่อยของการหมุนล้อรถไปยังลูกกลิ้ง ซึ่งก็มีอีกว่าจะเป็นแบบ 1 หรือ 2 ลูก หรือว่า วัดแบบได้ทั้ง 2 ล้อหรือว่าทั้ง 4 ล้อ ซึ่งพวกขับ 4 ล้อก็ต้องหา DYNO ที่วัดแบบมีลูกกลิ้ง 2 ชุด ส่วนใหญ่ในบ้านเราจะนิยมการวัดแบบ CHASSIS DYNO เป็นส่วนใหญ่ จึงจะสังเกตง่ายๆ ว่าทำไม เวลาโรงงานแจ้งว่าแรงม้าแรงบิดได้มาเท่าไหร่ แต่เมื่อไปวัดแรงม้าแรงบิดกลับได้ออกมาต่ำกว่าที่เค้าแจ้งไว้ ก็เพราะว่า เค้าวัดกันคนละจุดกันนะครับ เอาเป็นว่าพอถึงตรงนี้ก็คงพอเข้าใจได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วนะครับ ไปกันต่อ
3. เครื่องวัดที่วัดแรงจากที่ล้อคล้ายกับแบบที่ 2 แต่แบบนี้จะต้องถอดยางออกก่อนแล้วใส่อุปกรณ์ ADAPTER เพื่อยึดกับดุมล้อโดยตรงแล้ววัดแบบนี้จะทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องของการลื่นของยางหรือ SLIP
เครื่องวัดแบบ CHASSIS DYNO สามารถเลือกวัดค่าได้ทั้งรถแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ การวัดค่าจะแยกส่วนอย่างชัดเจนที่ล้อทั้ง 4 และสามารถปรับตั้งระยะฐานล้อให้เหมาะสมกับความยาวของรถได้ด้วยการสไลด์
เมื่อเราได้ทำความรู้จัก และเข้าใจถึงรูปแบบ วิธีการวัดค่าของเครื่อง DYNAMOMETER กันเป็นพอเข้าใจ คราวนี้มาดูกันต่ออีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ เมื่อเราต้องการทราบเรี่ยวแรงของเจ้าออฟโรดคันเก่งของเรา ว่า ตอนนี้มีมัดกล้ามที่จะไปอวดเบ่งต่อกรกับเพื่อนฝูงอยู่กี่มากน้อย นั่นคือ เรื่องของการอ่านค่าของเจ้าเครื่องนี้ เขามีการบอกหน่วยกันอย่างไร ซึ่งหน่วยการวัดที่นิยมจะมีดังนี้ คือ
1. SAE Horsepower เป็นหน่วยของการวัดค่าแรงม้าที่ลงพื้น คือค่าที่ลงขึ้นผ่านชุดขับเคลื่อน ไปยังล้อ MAG และ ยาง อะไรประมาณนั้นนะครับ
2. BHP จะเป็นหน่วยของการวัดค่าจาก FLYWHEEL ไม่ผ่านชุดขับเคลื่อน ดังนั้นค่าที่วัดได้จะได้มากกว่าประมาณ 10%-15% เมื่อเทียบกับ SAE
สำหรับในบ้านเราเมืองไทยของเราที่เห็นๆ กันหลายๆ ที่จะเป็น CHASSIS DYNO ทั้งหมด แต่จะวัดค่าและแสดงผลออกมาเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ SAE และ BHP ครับ
- POWER LAB ถ.วิภาวดี ที่นิยมวัดกันมากที่สุดเนื่องจากค่าออกมาเป็น BHP วัดได้ ทั้งขับสอง และขับสี่ อีกทั้งยังมีกราฟของอัตราส่วนอากาศและน้ำมันพร้อมระดับบูสธ์ของ turbo ประกอบทุกรอบของรอบเครื่องยนต์ ทำให้สามารถเช็ครถปรับปรุงข้อผิดพลาดได้
- STRYDER บางนา (ค่าออกมาเป็น SAE HP)
- DYNOJET BY WORLD TEC อ่อนนุช (ค่าออกมาเป็นที่ล้อ SAE HP)
- SIGNAL THAILAND รามคำแหง (ค่าออกมาเป็นSAE ที่ล้อ)
เครื่องวัดแบบ CHASSIS DYNO ในส่วนของชุดล้อวัดจะต่อเข้ากับชุดเซ็นเซอร์ พร้อมมีชุดหน่วงเพื่อหยุดแรงเฉื่อยของล้อหลังการวัดค่า การติดตั้งสามารถติดตั้งทั้งแบบฝังพื้น หรือแบบลอยบนแท่นวัด แต่การติดตั้งต้องอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นโลกเท่านั้น
จุดประสงค์ของการวัดค่าประสิทธิภาพเครื่องยนต์นั้น ถ้าจะพิจารณาการวัดสมรรถนะสำหรับรถยนต์ออฟโรดนั้น นอกเหนือจากเรื่องของการได้ทราบถึงค่าแรงม้า และแรงบิดของรถที่ได้ทำการปรับแต่ง โมดิฟาย หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ (โดยเฉพาะการวัดค่าที่ได้จากการถ่ายทอดลงสู่พื้น) การขึ้น DYNO ยังช่วยบอกถึงประสิทธิภาพของการปรับแต่งระบบส่งกำลัง ว่า มีอัตราทดที่เหมาะสม ลงตัวกับการตกแต่ง และเป็นไปตามความต้องการเพื่อการใช้งานของรถที่ได้ทำการตกแต่งลงไปรึเปล่า นอกจากนี้ การขึ้น DYNO ยังสามารถบอกสมรรถนะของรอบความเร็วเกียร์ในแต่ละสปีดมีความสัมพันธ์กับเครื่องยนต์เพียงไร
แม้จะหาเครื่อง DYNO สำหรับวัดค่าเจ้าออฟโรดคันเก่งตัวชูโรงร่างโตกันยากสักหน่อย เนื่องจากเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ อีกทั้งยังมีขนาดยางที่ใหญ่เอาเรื่อง ดังนั้นควรลองติดต่อสอบถามศูนย์ให้บริการนั้นๆ เป็นข้อมูลก่อนว่า สามารถรองรับการทดสอบรถของเราได้หรือไม่ (กันการเสียเที่ยว) ทีนี้เรื่องการปรับเซ็ตรถออฟโรดแบบบิ๊กโปรเจ็คก็มีผู้ช่วยไขความกระจ่างกันแล้ว ไม่ต้องใช้วิศวะกะกันให้มึนสับสน
เครื่องวัดบางรุ่นจะพัฒนาให้สามารถบอกได้ทั้งค่าแรงบิดที่ได้จากฟลายวีลล์ และค่าของแรงม้าที่ถ่ายทอดลงสู่ล้อ ช่วยให้ทราบถึงโหลดที่สูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ก่อนถ่ายทอดลงสู่พื้น ช่วยวิเคราะห์ และหาจุดแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น
http://grandprixgroup.com/offroadmag/site/?p=10735