จากหนังสือ ชวนม่วนชื่น
ธรรมะบันเทิงหลายเรื่องเล่า................โดย พระอาจารย์พรม
เรื่อง ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน
========================================================================================================
หลังจากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 2526 นั้น เราก็หมดตัวและเป็นหนี้โดยที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ แม้แต่เพิงที่อาศัยได้บนที่ดินผืนนั้น ในช่วง2-3อาทิตย์แรก เราต้องอาศัยนอนอยู่บนบานประตูเก่าๆ ที่ซื้อมาถูกๆ จากคนขายของเก่า เราหนุนบานประตูเก่าๆนั้นให้สูงขึ้นจากพื้นดินด้วยก้อนอิฐ (เราไม่มีแม้แต่เบาะนอน นั่นก็เป็นของแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นพระป่านี่)
ท่านเจ้าอาวาสได้บานประตูที่ดีที่สุด เป็นบานประตูเรียบๆ ส่วนบานประตูของอาตมาเป็นชนิดที่มีบัว แถมยังมีรูขนาดใหญ่พอควรอยู่ตรงกลางตรงบริเวณที่เคยเป็นลูกบิด โชคดีนะที่เขาถอดลูกบิดออกไปแล้ว แต่เจ้ารูนี่ก็ยังคงอยู่เกือบจะกลางเตียงประตูของอาตมาทีเดียว อาตมาเคยพูดตลกๆว่า อาตมาไม่ต้องลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำหรอกนะ! ความจริงที่แสนหนาวก็คือว่า ลมสามารถพัดกรูผ่านเจ้ารูนี่มาถึงตัวอาตมา ทำให้อาตมาไม่ค่อยได้หลับได้นอนในช่วงค่ำคืนเหล่านั้น
พวกเราเป็นพระจนๆ ที่ต้องการอาคารที่พักอาศัย แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างช่างก่อสร้างได้ แค่ค่าวัสดุต่างๆก็แพงเกินพอแล้ว อาตมาจึงต้องเรียนรู้ว่าเขาทำงานก่อสร้างกันอย่างไร เตรียมฐานรากอย่างไร ตลอดจนถึงการผสมคอนกรีต การก่ออิฐ การตั้งหลังคา งานประปา และทุกๆอย่าง ก่อนจะบวชอาตมาเคยเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฏี และเป็นครูโรงเรียนมัธยมผู้ไม่เคยคุ้นกับการใช้แรงงานด้วยมือทั้งสองนี้ เพียงไม่กี่ปีอาตมากลายเป็นช่างก่อสร้างที่มีฝีมือไม่เบา ขนาดที่จะสามารถเรียกคณะทำงานของอาตมาได้ว่า บริษัทพุทธก่อสร้าง (BBC – Buddhist Building Company) แต่ขณะที่เริ่มต้นนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเอามากๆ
การก่ออิฐอาจจะดูเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่โปะปูนลงไปแล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ทีด้านนั้นทีให้เข้าที่ ตอนอาตมาเริ่มก่ออิฐใหม่ อาตมาแตะกดมุมหนึ่งลงเพื่อให้ได้ระดับ อีกมุมหนึ่งกลับยกขึ้น พออาตมากดด้านที่ยกขึ้นนั้นให้ลงมา อิฐก็เริ่มแตกแถวแตกแนว หลังจากที่อาตมาดันมันกลับเข้าที่ มุมแรกก็เริ่มสูงเกินไปอีกแล้ว โยมลองทำดูซิ!
เพราะอาตมาเป็นพระ อาตมาจึงมีความอดทนและมีเวลาที่จะทำงานได้โดยไม่จำกัด อาตมาจึงทำงานอย่างประณีตที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอิฐทุกๆก้อนจะถูกวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ในที่สุดการก่อกำแพงอิฐแผงแรกของอาตมาก็สำเร็จลง อาตมาก้าวถอยออกมายืนชื่นชมผลงาน ในชั่วขณะนั้นแหละที่อาตมาสังเกตเห็น…โอ้ย!….อาตมาก่ออิฐพลาดไปสองก้อน อิฐก้อนอื่นๆเป็นแถวเป็นแนวสวยงาม มีแต่เจ้าอิฐสองก้อนนี่แหละที่เอียงๆ ทำมุมกับแนวอิฐก้อนอื่นๆมันดูแย่มากๆเลย มันทำให้กำแพงทั้งแผงดูไม่ดีเลย
ขณะนั้นปูนก่ออิฐก็แข็งเกินกว่าที่จะสามารถดึงอิฐออกมาก่อใหม่เสียแล้ว อาตมาจึงกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส ขอทุบกำแพงเพื่อเริ่มต้นก่ออิฐใหม่อีกครั้ง หรือถ้าจะให้ดีก็อยากจะระเบิดมันทิ้งไปเลย อาตมาก่ออิฐไม่ดี และอาตมาก็รู้สึกอับอาย ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้รื้อ กำแพงนี่จะต้องคงอยู่
เวลาอาตมาพาแขกเยี่ยมชมวัดที่เริ่มตั้งใหม่ของเรา อาตมาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาแขกเดินไปทางกำแพงนั้น อาตมาไม่อยากให้ใครๆเห็นมันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้3-4เดือน ขณะที่อาตมากำลังเดินอยู่กับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นกำแพงนั้น แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี้สวยดี”
อาตมาถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณลืมแว่นสายตาของคุณไว้ในรถรึเปล่า? สายตาคุณเสื่อมรึเปล่า? คุณไม่เห็นรึว่ามีอิฐถึงสองก้อนที่วางไม่ดีจนทำให้กำแพงนี้เสียหายหมด?
คำพูดที่เขาตอบอาตมานั้นได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดของอาตมาต่อกำแพงนั้น ต่อตัวอาตมาเอง และต่อหลายๆแง่มุมของชีวิต เขาบอกอาตมาว่า “ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้นแต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อน ก่อไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ”
อาตมาถึงกับอึ้งทีเดียว นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆ บนกำแพงนั้นนอกเหนือจากเจ้าสองก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐสองก้อนนั้น ล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดีนี้มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมากมายนัก ก่อนหน้านี้ตาของอาตมาจับจ้องเฉพาะแต่ที่อิฐสองก้อนนั้น ตาของอาตมามืดบอดต่อสิ่งอื่นๆทั้งหมด อาตมาจึงไม่อาจทนมองกำแพงนั้นได้และไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นกำแพงนั้นด้วย เป็นเหตุให้อาตมาอยากจะทลายกำแพงนั้นทิ้ง เดี๋ยวนี้เมื่ออาตมาสามารถเห็นอิฐดีๆแล้ว กำแพงนั้นก็ไม่น่าเกลียดอีกต่อไป มันก็เป็นเหมือนกับที่ผู้มาเยี่ยมคนนั้นพูด “กำแพงนี่สวยดี” เดี๋ยวนี้กำแพงก็ยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว อาตมาเองก็ลืมเสียแล้วว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมันอยู่ตรงไหนแน่ อาตมาไม่สามารถเห็นจุดผิดพลาดนั้นจริงๆ
มนุษย์เราสักกี่คนที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างเพียงเพราะเพ่งมองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ที่อยู่ในตัวคู่ชีวิตของเขา พวกเรากี่คนที่เคยรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนอาจจะเคยคิดฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ในตัวของเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมี “อิฐที่ดีและอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่เคียงข้างส่วนที่บกพร่อง ไม่ว่าจะมองไปทางข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา เพียงแต่เรามองมันไม่เห็นเท่านั้น แทนที่จะเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ สายตาของเรากลับเพ่งมองจดจ่อเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งหมดที่เราเห็นมีแต่สิ่งผิดพลาด จนเราคิดอยากจะทำลายมันทิ้งเสีย มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้งหลายหนเราได้ลงมือทลาย “กำแพงที่ดี” นั้นไปจริงๆ เราทุกคนย่อมมี “ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน” แต่แต่ละคนก็ย่อมมี “ก้อนอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” จำนวนมากมายกว่าข้อบกพร่องหลายเท่า เมื่อเรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่ร้ายนัก ไม่เพียงแต่เรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก ไม่เพียงแต่เราจะสามารถอยู่กับตนเองและข้อผิดพลาดบางประการของเราได้อย่างสุขสงบแล้ว เรายังสามารถมีความสุขกับการใช้ชีวิตร่วมกับสามีหรือภรรยาของเราด้วย นับเป็นข่าวร้ายสำหรับทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหย่าร้าง แต่เป็นข่าวดีสำหรับโยม
อาตมาได้เล่าเรื่องสั้นๆนี้หลายครั้ง ช่างก่อสร้างคนหนึ่งที่ได้ฟังเรื่องนี้ได้มาพบอาตมาเพื่อบอกความลับเกี่ยวกับงานก่อสร้างเขาบอกว่า “ช่างก่อสร้างอย่างเราๆนี้มักจะทำสิ่งผิดพลาดได้เสมอ เพียงแต่เราจะบอกลูกค้าว่ามันเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่มีบ้านใดในละแวกนั้นมีเหมือน แถมเรายังเบิกค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสองสามพันเหรียญอีกด้วย”
ฉะนั้นมันเป็นไปได้ที่เอกลักษณ์พิเศษจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความผิดพลาด
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเพียงแต่โยมจะเลิกมองจดจ้องอยู่เฉพาะแต่ข้อผิดพลาด สิ่งที่โยมเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องในตัวโยม ในตัวสามีหรือภรรยาของโยม และในชีวิตทั่วๆไปอาจจะกลับกลายเป็น “ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว” ที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตของโยมนะ========================================================================================================