ผมตอบพี่ไม่ทัน อ่านจบรอบแรกลืมคำถามหมดแระ
เอาเรื่องจำเป็นก่อนนะครับ
การต่อ O2 Sensor มีความสำคัญกะเราไหม และ อย่างไร ตอบด้วยความเห็นส่วนตัวและจากความรู้ส่วนตัวที่มีมาทั้งหมดครับ
ปกติผมเองไม่ได้แนะนำให้ต่อ O2 (ทั้งๆที่เทคนิเชี่ยนจากโปแลนก็ให้เราต่อ) สาเหตุของการไม่ให้ต่อ
1 ไม่มีกล่องแกสยี่ห้อไหนในโลกเอาค่า O2 มาสั่งคำนวนในการจ่ายเชื้อเพลิงแกสโดยใช้เป็นข้อกำหนดหลักในการจ่ายครับ เพราะกล่องน้ำมันเองเอา O2 มาคำนวนแล้วในช่วง Close Loop control
2 โวลท์ของ O2 วิ่งเพียง 0.1-0.9 โวลท์ ในรถยนต์ปกติส่วนใหญ่ที่ใช้ O2 Narrow Band ถ้าเราต่อไปโอกาสพลาดจากการเชื่อมต่อสายไฟ ถ้าบัดกรีไม่ดี หรือ มี ออกไซ หรือ สาย O2 เป็นสายชิวล์ ที่มีฉนวนหุ้มอีกที(ที่เป็นฟอร์ย หรือ ทองแดงก็ดี ผมเขียนถูกไหมครับ) โอกาสที่ โวลท์น้อยๆนี้จะดรอปลงมามีอยู่ครับ ถ้าโวลท์เปลี่ยน แน่นนอนกว่ากล่อง ECU น้ำมันจะสั้งให้จ่ายส่วนผสมที่เปลี่ยนไปด้วยครับ
3 รถส่วนใหญ่ในบ้านเราเป็น Narrow Band O2 จะเห็นส่วนผสมแค่ พอดี หนา หรือ บาง แต่ไม่สามารถบอกค่าได้ว่าส่วนผสมเท่าไหร่ เช่นถ้าส่วนผสมหนามากๆ จนจุดระเบิดได้ไม่ดี มี O2 จากการเผาไหม้ออกมาเยอะ แต่ O2 จะบอกออกมาว่าบางนะครับ
4 O2 มีอายุการใช้งาน ถึงแม้ในคู่มือรถเราไม่ได้ระบุให้เปลี่ยนที่อายุกี่กิโล แต่ถ้ามันเกิดเสียขึ้นมา ส่วนใหญ่ทางอู่แกสจะเป็นจำเลย
ทีนี้ทางเมืองนอกให้ต่อทำไม
1 เอาไว้ดูค่าการทำงานคร่าวๆ โดยคนจูนเป็นคนอ่าน ว่าช่วงนี้หนาไปนะ(แต่ไม่รู้ว่าหนาไปเท่าไหร่) ช่วงนี้บางไปนะ (แต่ไม่รู้ว่าหนาไปเท่าไหร่)
2 ดูว่าช่วง Close control ของรถ ยังทำงานปกติอยู่ (เสียบ Scaner ก็อ่านได้นะคร้าบ)
3 กล่องแกสหลายๆยี่ห้อไม่มีผลลัพของการปรับจูนให้เราเห็น ดังนั้นเค้าก็ต้องดู O2 ตอนวิ่งเพื่อให้เห็นข้อ 1 ข้างบน คือการทำงานคร่าวๆว่าบางไปหรือหนาไป( จริงๆปกติ Tunner จะใช้ ""Wind Band O2 ในการอ่านค่าพวกนี้ครับ)
ในฟังชั่น ISA2
ค่า O2 มาลิมิตว่าตอนนี้ส่วนผสมตอนนี้หนาหรือตอนนี้บางโดยกล่องจะเป็นคนอ่านค่ามาครับ ในแต่ละช่วงการใช้งานในโหลดต่างๆ
ประมาณนี้คร่าวๆครับในการต่อ O2