................................
อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเลือกน้ำมันเครื่องมาก็พอสมควร เป็นเรื่องทฤษฎีล้วนๆ แต่อ่านยังไงๆ ก็ยังไม่ค่อยเก็ตเท่าไร งงเอา งงเอา ก็จึงอาศัยประสบการณ์ตรงมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ..
1.ออก V6 3.0 มา ศูนย์เติมคาสตรอล เบอร์ 10W30 ให้ น้ำมันเกรดนี้ใช้ได้ 5,000 กม. ศูนย์แนะนำให้ถ่ายทิ้งที่ 500 กม.แรกด้วย เพราะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ รถใหม่ เขาบอกว่าอาจจะมีเศษโลหะอะไรติดมาในห้องแคร้งค์ .. ผมก็ชักจะสงสัยว่าเศษโลหะอะไรจะไปติดในแคร้งค์ และถ้ามันหล่นอยู่ในแคร้งค์จริง ก้นแคร้งค์ก็มีแม่เหล็กดูดโลหะเอาไว้ ไปถ่ายน้ำมันเครื่องทิ้งแล้วจะได้ประโยชน์อะไร (อ๋อ.. ศูนย์ฯ ได้ประโยชน์แน่ มากมายมหาศาล) สำหรับผมเช็คดูแล้วระยะ 500 กม.แล้วน้ำมันเครื่องยังใสแป๋ว ก็เลยถามหัวหน้าช่างแบบเครียดๆ ว่า "ตอน 500 กม.เนี่ย จำเป็นมากมั๊ย?" ... ก็จึงได้รับคำตอบว่า "จะไม่ถ่ายก็ได้ครับ" และพี่แกยังสาธยายต่อไปว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ทุกวันนี้อะไรๆ ก็ดีหมดแล้ว .. ผมก็จึงไม่ถ่าย เพราะไม่รู้จะถ่ายไปทำไม .. ไปถ่ายทีเดียวตอน 5,000 กม. (และประหยัดได้อีกเกือบ 2,000 บาท)
การที่ไม่ยอมถ่ายตอน 500 กม. กลับทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ครับ .. คือ พอใช้ต่อมาอีก ไปถึงสัก 4,000 (ไม่ถึง 5,000 กม.ตามกำหนด) รถอืดลงเห็นได้ชัด 1,000 กม.สุดท้ายก่อนครบกำหนดไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งแรก รถเริ่มเร่งไม่ออก คันเร่งหนักมาก .. ผมชักสงสัยว่า น้ำมันเครื่องยี่ห้อนี้ เบอร์นี้ ท่าจะไม่เวิร์ค .. นี่เป็นประสบการณ์แรก
2. อดทนวิ่งต่อไปตามกติกา เพื่อค้นหาความจริง อดทนวิ่งช้าๆ ใจเย็นๆ ชิดซ้ายเข้าไว้ เพื่อให้ครบ 5,000 กม. จากนั้นก็กลับเข้าศูนย์
ครบ 5,000 กม. ศูนย์ฯ ก็ยังเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเบอร์เดิมให้อีก คือ คาสตรอล 10W30 เพื่อใช้ต่อไปอีก 5,000 กม. ซึ่งเมื่อบวกกับที่ขับมาแล้ว 5,000 ก็จะเป็น 10,000 กม. นั่นคือ กำหนดที่จะต้องนำรถเช้าเช็คระยะนั่นเอง เมื่อเข้าเช็คระยะตอนนั้นจึงค่อยเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเครื่องที่มันจะแล่นได้คราวละ 10,000 กม. ซึ่งก็คือน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ .. ที่ควรจะเป็นเช่นนี้ก็เพื่อที่จะได้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไปเช็คทุกระยะ 10,000, 20,000 และ 30,000 ฯลฯ คือมันจำง่าย เราได้ประโยชน์ และศูนย์ก็จะได้ฟาดหนักๆ ในการกลับไปแต่ละครั้ง.. คราวนี้จะไม่ใช่ 2 พัน แต่จะเป็น 3 พันกว่าๆ .. ราคาศูนย์ เพราะเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ซึ่งก็คงจะเป็นยี่ห้อเดิม แต่ยังไม่ทราบเบอร์
ตอนนี้ผมสรุปว่า ปัญหาที่เจอใน V6 3.0 คันของผมก็คือ น้ำมันเครื่องยี่ห้อนี้ เบอร์นี้ ใช้ไปถึงช่วงปลายๆ แล้วมันหนืดมาก อย่างที่ผมเรียนเอาไว้ใน ข้อ.1 คาสตรอลอาจจะเป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับเครื่องยนต์รุ่นอื่นยี่ห้ออื่นครับ สำหรับ PJS V6 3.0 24V คันของผม .. น้ำมันเครื่องยี่ห้อนี้ เบอร์นี้ มีปัญหาแน่นอน
แล้วจะใช้ต่อไปทำไม?
3. ผมใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้อเดิมเบอร์เดิมที่ศูนย์ฯ เปลี่ยนถ่ายมาให้ตอน 5,000 กม. ใน ข้อ.2 เพื่อไปให้ได้อีก 5,000 กม. ตามราคาคุย ทั้งนี้ก็เพื่อให้บรรจบครบ 10,000 กม.ตามที่เรียนมาแล้วใน ข้อ.2 .. แต่พอวิ่งไปถึงประมาณ กม.ที่ 8,000 ก็สุดจะทนอีกต่อไป อาการฝืดแบบเดิมนั่นแหละครับ มันทำให้เป็นห่วงเครื่องยนต์และสงสารรถ เนื่องจากมันวิ่งไม่ออกเอามากๆ นอกเสียจากจะเฆี่ยนหนักๆ ให้มันวิ่ง มันก็จะไม่ปฏิเสธ อาการนี้มิใช่อย่างอืื่น แต่เป็นเพราะน้ำมันเครื่องครับ ผมเคยเจอกับคัมรี่ V6 3.0 ประกอบออสเตรเลียเมื่อหลายปีก่อนโน้น อาการเดียวกันเด๊ะ ผมก็จึงตัดสินใจไปศูนย์ฯ มิตซูใกล้บ้าน หิ้วน้ำมันเครื่อง Valvoline Full Synthetic เบอร์ 0W30 ไปด้วย ผมทำการบ้านล่วงหน้ามาแล้วและได้เลือกน้ำมันเครื่องยี่ห้อนี้เบอร์นี้เพื่อจะลองดู ให้ศูนย์ฯ จัดแจงเปลี่ยนถ่าย เปลี่ยนไส้กรอง เปลี่ยนแหวนรอง + ค่าแรง เสร็จสรรพก็ 600 กว่าบาท .. ตอนนี้ปา V6 ของผมวิ่งได้ 15,000 กม.แล้ว คือ วิ่งมาได้ 7,000 กม. นับตั้งแต่เปลี่ยนถ่ายไปใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เบอร์ 0W30 ยี่ห้อใหม่ .. ถึงตอนนี้ยังไม่พบอาการหนืดจัด ดังที่เรียนมาก่อนหน้านี้ครับ รถวิ่งฉลุยและฉลิว จะเหยียบเอาเร็วเท่าไหร่เครื่่อง V6 3.0 24 วาล์ว ไม่มีกั๊ก ... แต่ยังไม่สรุปหรอกครับ ต้องรอดูช่วงปลายๆ อีกสักหน่อย รอดูอีกสัก 3,000 กม. จะเจออาการฉุดรั้งแบบเดิมๆ หรือไม่
ผมยังจะทดลองต่อไปครับ จนกว่าจะเจอน้ำมันเครื่องในดวงใจ.. เครื่อง V6 3.0 24V ผมคิดว่าจำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องน้ำมันเครื่องเป็นพิเศษครับ แล่นไปถึง 18,000 กม.จะกลับไปศูนย์ฯ ใกล้บ้านอีกครั้งพร้อมน้ำมันเครื่องอีกยี่ห้อหนึ่งและเป็นเบอร์ใหม่ที่เลือกไว้ในใจแล้ว ได้ผลประการใดจะกลับมารายงานอีกที ซึ่งตอนนั้นก็คงจะเป็นตอน 20,000 กม.เศษๆ หลังสงกรานต์น่าจะถึงอะคับ
ป๋าท่านใดผ่านอะไรมาบ้าง โปรดช่วยถ่ายทอดประสบการณ์เป็นวิิทยาทานด้วยนะครับ ..