จะทำอย่างไรดีเมื่อน้องปาคันโปรดของเราทำตัวเป็นรถขี้โรค ซะแล้ว (สาระพัดจะป่วย เหนื่อยที่จะรักษา)
สวัสดีครับ พ่อ-แม่-พี่น้อง-และมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ผมต้องออกตัวเสียหน่อยครับว่า ก่อนหน้าที่ mitsubisshi จะออกรถรุ่น Pajero Sport นี้ออกมาขาย ไม่มีรถรุ่นใดๆในค่ายนี้เลยที่อยู่ในความคิดที่ผมจะซื้อมาขับ เนื่องจากด้วยชื่อเสียๆ ต่่างๆ นาๆที่ชาวพิจิตรต่างสวดส่งให้ กับศูนย์บริการที่นั้น ทำให้ในอดีตจนเป็นต้นมาครอบครัวผมจะใช้รถหลายๆคัน อยู่เพียง 2 ค่าย เจ้าตลาดเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างในพื้นที่ ส่งเสริมให้เป็นแบบนั้น จนในปี 2005-06 มั้งจำไม่ได้ สมัยที่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยบ้านนอกอยู่เลย ที่ผมได้พบเห็นข่าว แว่วๆมาว่าทาง MMTH มีโครงการที่จะพัฒนา และ จะทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ นามว่า Pajero Sport เมื่อเห็นรูปลัก ผมก็หลงรักมันเลย จนมีความคิดว่าต้องหามาเป็น รถคู่กลายให้จงได้ จนเวลาผ่านไปในปี 07 เมื่อทางบ้านมีโครงการจะหารถคันใหม่มาใช้งาน ผมจึงทำการทรยศ ค่ายเจ้าตลาดที่ใช้งานอยู่มาเชียรให้ พ่อแม่ตัดสินใจซื้อ น้องปา มาใช้งานแทนโดยเอาข้อมูลคุณสมบัติต่างๆ นาๆ มากรอกหูพ่อแม่ผมอยู่ทุกวันๆ แต่สุดท้ายก็พบกับความพ่ายแพ้ พ่อไปออก New D-Max 3.0 dbi hilander ในสมัยนั้นมาใช้แทน ผมจึงพบกับความพ่ายแพ้ไปต้องทนใช้ isuzu TFR มักทอง 90 HP แก่ๆของพ่อต่อไป จนในปี 09 ผมสอบติด KMITL หลักสูตรต่อเนื่อง ต้องมาเรียนในกรุงเทพ ทางบ้านจึงได้ให้ของขวัญเป็น vios 03 สีทองแก่ๆ ของแม่มาใช้งานอีกคันซึ่งก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหาใดๆมาจนถึงปี 2011 ที่ผมสามารถเรียนจบมีงานมีการทำ จนเก็บเงินได้ก้อนนึง จึงมีความคิดว่า สมควรจะซื้อรถในฝันที่เฝ้าฝันจะหามาไว้ในครอบครองตั้งแต่วัยเด็กนั้น คือ Pajero Sport คันงาม แต่เนื่องจากในปี 2011 มีมหกรรมความบันเทิง เล่นน้ำกันทั่วบ้านทั่วเมือง ผมจึงตัดสินใจซื้อ Pajero ในงาน Motor Expor ปีนั้นเอง เพราะจะเอา vios ลุยน้ำคงไม่ไหวแน่ๆ และ ในที่สุดฝันอันยาวนานก็เป็นจริง ในงวันที่ 30 ม.ค. 2012 เมื่อทาง sale ของ su-torn motor ศรีนคริน โทรมาให้ไปรับรถได้ ...... แต่แล้ว ความโชคร้ายก็มาเยือน เมื่อใช้งานไปแล้วรถในฝันของเรา ดันกลายเป็นฝันร้าย ดังนี้
1.เนื่องจากใช้งานรถอยู่ในกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยได้วิ่งระยะทางไกลๆมากนัก แต่ เมื่อราวๆ เดือน สิงหาคม 2012 มีโอกาสขับรถกลับบ้านที่จังหวัดพิจิตร รับพ่อ แม่ และ น้องไปเที่ยว พิษณุโลกกัน และ ถือ โอกาส แวะ เช็คระยะ 20,000 กิโลที่ ศูนย์พิษณุโลก (นเรศวร) (ศูนย์พิจิตรเหรอ ไปไกลๆเลย เพราะตอนไปเช็คหมื่นโล ทางศูนย์เอาสมุดคือมือไปทำไรซักอย่างแล้วไม่ได้เอามาคืน พ่อก็ขับรถกลับบ้าน แต่พอนึกได้ว่าไม่ได้รับสมุดคู่มือคืนก็กลับไปสอบถาม แต่ศูนย์บอกว่าไม่ได้เก็บเอาไว้ และ ไม่รับผิดชอบ ไม่คิดจะช่วยหาด้วยซ้ำ ครอบครัวผมจึงเข้าใจว่าทำไมคนพิจิตรถึงได้สาบส่งศูนย์นี้นึก จึงทำการกาหัวตัวแดงๆไว้ว่าจะไม่เฉียบไปเข้าอีกเลย) เอามาๆๆต่อๆ.. เมื่อทำการเช็คระยะเสร็จก็ขับรถไปเที่ยวบ้านญาติต่อ ก่ะว่าจะรับลุง ป้า แล้วก็พี่สาวไปเที่ยว ก่ะว่า จะอวดรถใหม่เต็มที่เลย แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นครับ ในห้องโดยสาร นั้น ค่อยๆร้อนขึ้นๆ เรื่อยๆจนผิดสังเกตุ ผมจึงได้ชลอรถเพิ่มหาที่จอดดูว่าเกิดอะไรขึ้น และ เอารถเข้าศูนย์ แต่ว่าอยู่ๆ เครื่องยนต์รถก็ดับลงกลางทางเสียก่อนจึงค่อยๆ นำรถเข้าจอดข้างทาง
(เครื่องดับกลางทางครั้งที่ 1 เกือบโดนสิบล้อที่วิ่งตามมาชนเละ) พอดีไปจอดหน้าร้านซ่อมแอร์พอดี เลยให้ช่างมาช่วงดู เมื่อช่างแอร์มาช่วยดูก็พบว่า บ่ะเจ้า ในระบบหล่อเย็นไม่มีน้ำหล่อเย็นเหลือเลยแม้แต่น้อย ..... (้ป็นไปได้ไงว่ะ) ด้วยความมึนงง จึงได้ติดต่อให้บริษัทประกันมาช่วยลากรถ ทางประกันก็ลงรถ 6 ล้อมาช่วยลากให้อย่างรวดเร็ว และ ไม่คิดค่าใช้จ่าย (ขอบคุณทาง tokio marine มากครับที่ช่วยเหลือ) สรุปวันนั้นรถต้องไปนอนที่ศูนย์ มิตซู แถวๆ สี่แยก อินโดจีน อยู่ 2-3 วัน รถน่ะเป็นไงไม่รู้แต่ที่แน่ๆนะ เจ้าของน่ะ โคตรจะอายเลย รถใหม่ยังเป็นป้ายแดงอยู่เลย ที่สำคัญมันดันเสียต่อหน้าคนที่เรากำลังคุยอวดเค้าอยู่ด้วยว่ารถเราดีอย่างโน้นอย่างนี้ อายจนแทบแซกแผ่นดินหนีเลย สุดท้ายวันนั้น ลุงผมก็ขับ frod ranger แก่ๆ รุ่นเดียว กับ TFR พ่อผมมาส่งบ้านที่พิจิตร
2.เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ผมหน้าแหกต่อหน้าเพื่อนฝูงอีกครานึงสืบเนื่องมาจากเหตุการคราวที่แล้วที่รถมีปัญหา คุณพ่อเป็นคนไปรับรถที่ศูนย์โดยทางศูนย์บอกว่าทำการตรวจสอบแ้ล้ว โดยการดูดอากาศออกจากระบบหล่อเย็น ไม่พบความผิดปกติ (เอิ่มครั้งที่ 1 ไม่ผิดปกติแล้วน้ำหล่อเย็นหายไปไหนหมด รึ ช่างถ่ายน้ำออก แล้ว ลืมเติม รึ เติมน้ำแล้วฝาหม้อน้ำมันปีนเกลียว รึน้ำมันซึมออกมาตลอด แต่ช่างที่เช็คระยะมันไม่ได้ดูเลย แล้วจะเอารถไปเซ็ค ศูนย์ทำแมวอะไร
) อ่ะรายยาวเป็นคุณ JIMMY แห่ง
www.headlightmag.com เลย หุหุ มาเข้าเรื่องต่อ เมื่อทางศูนย์ยืนยันว่ารถปกติ ในวันที่ 5 ธ.ค. 2012 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวๆๆๆๆ ผมกับเพื่อนๆ รวม 7 คน และ สัมภาระ เต็มพิกัด สำหรับไปตั้งแคมป์ ยาวๆ 3 วัน 2 คืน ที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จ.ตาก โดยออกเดินทางจาก จ.พิจิตร อันเป็นที่พำนักพักอาศัย มุงหน้าสู่แดนไกล สู่งพงไพร่ป่าตะวันตก อันสวยงามของไทย เมื่อออกเดินทางจากพิจิตร มาถึงจังหวัดตากก็ไม่มีปัญหาอะไร และ ผมก็จ้องอยู่แล้วล่ะครับว่าความร้อนมันจะขึ้นอีกรึเปล่า จนเริ่มมุ่งหน้าไปยัง อ.แม่สอด ที่ถนนเป็นเส้นทางขึ้นเขาสูงชัน จึงต้องใช้งานเครื่องยนต์อย่างหนักตลอดระยะทางกว่า 80 km จนเมื่อเหลือระยะทาง ไม่ถึง 10 km สุดท้าย ซึ่งเป็นทางลงเขาลาดชัน ไม่มีที่หยุดพัก หรือ เอารถหลบเข้าข้างทางได้ เจ้าเข็มความร้อนเจ้่กำมันก็ชี้เกินครึ่งนึงซึ่งเป็นจุดความร้อนปกติ และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นไม่มีทางเลือกใดๆเลยนอกจากประครองรถลงทางเขาลาดชัน มายังพื้นราบให้ได้เสียก่อน แต่ยิ่งขับรถลงเขามาไกลเท่าใด ความร้อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น จนท้ายที่สุดลงมาถึงที่ราบบริเวณ วงเวียนก่อนเขา อ.แม่สอด สายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่ งโอ๊ะแม่เจ้า ที่แม่สอดมีศูนย์มิตซูด้วย รอดแล้ว กรู เลยตัดสินใจ โดยไม่ลังเล เอารถเสียบหัวเข้าไปในทันที แต่อนิจจา วันนั้น ศูนย์เค้ายังสร้างไม่เสร็จยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีแต่ฝ่ายขายอยู่เท่านั้น ความหวังอันเลือนลาง พลันจะดับวูบลง (นึกในใจเอาไงดีหว่า เสียหน้า+อายเพื่อน น่ะไม่เท่าไหร่ แต่จะเอารถลงไปซ่อมยังไง นี่ล่ะสิ กลุ้ม) แต่ในแสงสว่างอันน้อยนิด ก็ยังไม่ความหวัง เสมอเปรียบเสมือนเดินเข้าอุโมงค์ ที่ถึงแม้ว่ามันจะมืดมิด หนาวเหน็บ แต่ซักวันมันก็จะถึงทางออก เพราะว่ามีช่างจากศูนย์มิตซูตาก เค้ากลับมาบ้่านที่แม่สอด และ แวะ เข้ามาดูศูนย์ใหม่ในเครื่อที่จะเปิดพอดี จึงให้ช่างเค้าดูให้ ทางช่างก็ดูๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดูโน้นดูนี่ ดูที่เครื่อง ดูที่คอนโซล ดูไปดูมา ช่างก็ไปเปิดฝาหม้อน้ำซะงั้น รถมันเพิ่ง overheat มานะครับ เฮ้ย ค้นพบน้ำพุร้อนแห่งใหม่ที่แม่สอดว่ะ ย๊ากๆๆๆๆ วงแตก ล่ะครับพี่น้อง พอสถานการณ์กลับเข้าสู่ความเรียบร้อย ทางช่างคนเดิม (ไม่รู้ว่าเมื่อกี้เค้าไปหลบตรงไหนไว จริงๆ) ก็มำการถอดๆๆๆๆๆ ปั้มน้ำ ถอด ท่อ ต่างๆๆ ที่ฟังเค้าอธิบายแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามีไว้ทำไม ฮ่าๆๆๆ สุดท้าย ท้ายที่สุด ฏ้มาสรุปอยู่ที่ วาวล์น้ำครับพี่น้อง ไว้วาวล์ตัวนี้ทำหน้าที่เกิด ปิด น้ำ ให้ไหลเข้าไปที่เครื่องยนต์ เห็นช่างบอกว่ามันเปิดให้น้ำเข้าเครื่องได้ไม่เต็มที่ (จริงเปล่าหว่า
) แต่ถึงจะหาจุดเจอ แต่ไม่มีอะไหล์อยู่ใกล้ๆเลย เฮ้อๆๆ ไม่มีทางเลือกช่างเลย ถอดมันออก แล้วต่อท่อทุกอย่างกับเข้าที่ โดย bypass วาวล์น้ำไว้ก่อน โดยช่างบอกว่าไอ้วาวล์นี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร (เอิ่ม ครั้งที่ 2 มันจะแก้ได้จริงเหรอ ถ้าไม่จำเป็นต้องมีแล้วคนออกแบบเค้าจะใส่มันมาไว้ ทำมะเขื่อยาว อะไร หว่า
) แล้วช่างก็เติมน้ำ ฟังไม่ผิดครับ เติมน้ำ น้ำประปานี่แหละ ลงไปในหม้อน้ำประมา สี่ขวดโค๊กขนาดกลาง แล้วก็สตาร์เครื่องยนต์ ติดเครื่องทิ้งไว้ความร้อนก็ไม่ขึ้น สมาชิกผู้ร่วมทางก็พากันดีใจ ไปต่อได้ หุหุหุ เลยเริ่มออกเดินทางไปกันต่อ เสียเวลาไปกว่า 4 ชั่วโมงตรงนี้
2.1 ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่าเรื่องมันคงจบไปแล้ว...หึหึหึ คุณคิดผิดครับ พอผมออกเดินทางจาก อ.แม่สอด มุ่งหน้าไปตามเส้นทางหมายเลข 105 อันสวยงาม ผ่าน อ.แม่ระมาด อ.ท่าสองยาง ผ่านค่ายอพยพ ขนาดใหญ่ของ คนพม่า ที่น่าสงสาร แต่.................. ในระหว่างที่ทุกคนกำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติอยู่นั้น เหตุการณ์ผิดปกติก็เริ่มเกิดขึ้น นั้นคือ แอร์มันเริ่มไม่เย็นล่ะครับ พอก้มลงมาดูที่หน้าปัด โอ้ว...................... ความร้อนขึ้นอีกแล้วคราบ (ไหนช่างมันบอกว่า แก้ปัญหาได้แล้วไงล่ะ หลอกกันนี่หว่า) และที่สำคัญในขณะนั้น ผมกำลังขับรถเลาะไปตามลำน้ำเมยครับ เป็นถนน 2 เลนเล็กๆ ที่แทบจะใช้เป็นเส้นพรมแดนประเทศกันเลยทีเดียว มองไปทางหว่า ก็เป็นป่า และ ภูเขา มองไปทางซ้าย ข้างถนนก็เป็นแม่น้ำเมย เลยไปไม่เกิน 20 เมตรก็ประเทศพม่า ชุมชนที่ผ่านมาก็ห่างไปกว่า 50 km ใน GPS ก็บอกว่าชุมชนที่ใกล้ที่สุดก็ห่างไปกว่า 30 km เอาไงดีหว่าฟ้าก็เริ่มมืด จนไฟหน้าก็ติดขึ้นมาเองแล้ว คืนนี้มีหวังได้กินข้าวลิงแน่ๆๆๆๆ ไม่งั้นก็คงไปตั้งแคมป์กันตรงนี้แน่ๆ ไหนๆก็ขนอุปกรณ์ดำรงค์ชีพในป่ากันมาให้หนักรถแล้ว วิญญาณลูกเสือ วิทยาลัยเทคนิคพิจิตรเก่าเริ่มเข้าสิง เอาก็เอาว่ะ 555+ แต่ผมก็ยังพยายามขับรถต่อมาอีกหน่อย จนพบสิ่งช่วยชีวิตนั้นคือ สำนักงาน ศูนย์อนุรักษ์ต้นน้ำเมยที่ 2 ซึ่งในนั้นมีคนเฝ้าอยู่ 1 คน แต่กำ อีกก็คือ เราพูดภาษาไทยไปเค้าก็ไม่เข้าใจ เค้าพูดมาเราก็ฟังเค้าไม่รู้เรื่อง .... (เอิ่ม พม่านี่หว่า หุหุ) แต่พอเค้าเห็นอาการรถเราเท่านั้นเค้าก็เดินไปห้องน้ำหลังสำนักงานตักเอาน้ำมาถังนึง รอจนเครื่องเริ่มเย็น ประมาณ 30 นาที เค้าก็เปิดฝาหม้อน้ำแล้วเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำ (ฉลาดกว่าช่างมิตซูอีกแนะ ที่รอให้เครื่องเย็นก่อน ฮ่าๆๆ) เชื่อมั้ยครับ ว่าเค้าเติมลงไปจนเือบหมดถึงไม่ต่ำกว่า 2-3 L แน่นอน ...(น้ำที่เพิ่งเติมมามันหายไปไหนหว่า) เลยออกเดินทางต่อไปที่อุทยาน (ขอบคุณชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือนะครับ อิอิ)
2.2 พอผมขับรถออกมาได้ ประมาณ 50 Km ความร้อนเจ้ากำ มันก็เริ่มขึ้นอีกล่ะ แต่คราวนี้ต้องกัดฟันขับรถไปต่อล่ะ ไม่งั้นได้กินข้าวลิงสมใจแน่ๆ เพราะฟ้าก็มืดแล้ว ย้ำนะครับว่ามืดแล้ว บริเวณนั้นเป็นป่าช่ายแดน เวลามืด มันมืด สนิท จริงๆนะครับ มืดแบบมองลายมือตัวเองไม่เห็นเลย พอขับมาได้อีกซักพัก ความหวังก็เริ่มกลับมาเพราะหน้าทางเขาที่ทำการอุทยาน เป็นชุมชนเล็กๆครับ เล็กขนาดที่คนทำแผนที่ใน GPS ของ Speed Navi ไม่เอาใส่ไว้ในแผนที่ซะด้วย ซ้ำ พวกเราเลยจอดพักรถกัน พอดับเครื่องเพื่อนผมมันก็ ซนครับเปิดฝากระโปรงรถได้มันก็เอามือ ไปจับหม้อน้ำ ตรงช่องด้านหลังพัดลมไฟฟ้า ไอ้เราก็เตือนมันแล้วว่่า อย่าไปจับนะมันร้อน เพราะรถยังร้อนเลย แต่เพื่อนผมมันกลับบอกว่าหม้อน้ำเย็นๆๆๆมาก ผมก็คิดว่ามันอำเปล่าหว่า รถความร้อนขึ้นขนาดนี้หม้อน้ำจะเย็นได้ไง .... เลยเอามือไปจับบ้างมันก็เย็นจริงๆ ครับ เลยสงสัย หรือ ว่าหม้อน้ำจะรั่ว..... เลยพยายามเติ่มน้ำแล้วช่วยกันดูว่ามาน้ำหยดลงพื้นบ้างรึเปล่า แต่มันก็ไม่มี เลยเดินไปกินข้าวแบบจอดรถทิ้งไว้ข้างทางประชดชีวิต ซะงั้น พอกินข้าวเสร็จก็กลับมาหาทางปลุกปั้นเพื่อให้รถสุดที่รักเดินทางต่อได้ พอดีมีนักท่องเที่ยวท่านนึงที่มาเที่ยวที่เดียวกัน เดินมาถามว่ารถเป็นอะไรครับ เลยอธิบายไปแบบยาวๆๆๆ เหมือนกับที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละ พี่เค้าเลยเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำให้เต็ม แล้ว สตาร์เครื่อง พอน้ำในหม้อน้ำเริ่มถูกดูด ก็เติมเรื่อยๆ จนน้ำไม่ยุบแล้ว จึงเริ่มสังเกตุว่า มันมีฟองเป็นผอยๆ ผุดขึ้นมาที่ปากหม้อน้ำ พี่เค้าบอกว่าอาการเหมือนฝาสูบโกงเลย หืมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จริงดิ แต่ฟองมันไม่ใหญ่มากอาจจะเป็นที่ประเก็นก็ได้ หลังจากนั้นผมก็สามารถขับรถขึ้นอุทยานไปเที่ยวได้สมใจ แต่ไปถึงช้ากว่ากำหนด 8 ชั่วโมงเนื่องจากเสียเวลา กลับการที่รถมีปัญหา ที่นี้เวลาขับรถกลับคณะของเราก็จะจอดรถชมธรรมชาติกันทุกๆ 100-150 Km เมื่อไหร่ที่น้ำเริ่มยุบเราก็เติมๆๆๆๆ จนกลับถึงพิจิตรจนได้ หุหุหุ
ข้อ 3-4 ไปต่อด้านล่างนะครับ