ตอนที่ 1 ลมยางมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งาน
แรงดันลมยางเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มิเตอร์มาร์แชลว่า การดูแลรักษาไม่ใช่เรื่องวุ่นวายเลย ใช้เวลาน้อยกว่าที่คุณเลือกเสื้อผ้ามาใส่เสียอีก การปล่อยปละละเลยในเรื่องของการตรวจส...อบลมยางนั้น นอกเหนือจากเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ยังมีเรื่องอื่นที่ช่วยให้คุณประหยัดได้มากกว่าแฝงอยู่ โดยที่คุณไม่รู้ตัว
การปล่อยให้ลมยางแข็งหรืออ่อนเกินไป มีผลต่อเรื่องการสึกหรอของยางโดยตรง กรณีนี้จะทำให้หน้ายางสึกหรอผิดปกติ ซึ่งจะทำให้อายุของการใช้งานสั้นลงมาก ฉะนั้นจึงจำเป็นมากที่คุณควรต้องตรวจสอบลมยางเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ซึ่งควรซื้อเกจวัดลมยางคุณภาพดีๆ สักอันติดรถไว้ ราคาอาจจะสูงถึง 500-800 บาท แต่เป็นสิ่งที่ควรลงทุน เพราะใช้ได้นาน และเกจวัดตามปั๊มมักเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากผ่านการใช้งานหนัก ทั้งตกทั้งหล่น จะทำให้ค่าที่วัดได้คาดเคลื่อน ผลที่ตามมา คือ เรื่องการสึกหรอที่ผิดปกติ
เวลาที่เหมาะสมในการตรวจเชคแรงดันลมยาง ควรจะทำในช่วงเช้าหรือเย็น หลังจากที่จอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน 3-4 ชั่วโมงขึ้นไป หรือหลังจากรถวิ่งมาไม่เกิน 2-3 กม. ถ้าเช็คตอนที่ยางร้อน อากาศที่อยู่ภายในยางจะมีความดันเพิ่ม 2-3 ปอนด์ การตรวจเช็คเป็นประจำ จะทำให้คุณรู้ว่ายางเส้นไหน มีการรั่วซึม โดยเปรียบเทียบแรงดันได้จากล้อที่เหลือ เมื่อพบว่ามียางบางเส้นเกิดการรั่วซึม จะต้องมีการตรวจหาสาเหตุ เช่น อาจจะโดนตะปูเสียบคาอยู่ ลมจะค่อยๆ ซึมออกทีละน้อย หรือวาล์วสำหรับเติมลมรั่ว จะได้สามารถแก้ไขได้ทัน เพราะมีผลต่ออายุการใช้งานของยางเช่นกัน
ตามปกติ ลมยางจะสามารถซึมผ่านรูพรุนของเนื้อยางได้เล็กน้อย ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าทุกล้อมีแรงดันลมลดลงเล็กน้อยในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แรงดันที่เหมาะสมสำหรับรถแต่ละรุ่นนั้น ขึ้นอยู่กับสเปคของรถ ดูได้จากคู่มือประจำรถ หรือสติคเกอร์ที่ติดไว้แถวๆ เสาบี หรือประตูคนขับครับ
ที่มา :
www.marshaltire.in.th ตอนที่ 2 หมั่นตรวจสภาพยาง
หลังจากใช้งานยางไประยะหนึ่ง จะเกิดการสึกหรอมากขึ้น ถ้าศูนย์ล้อปกติ หน้ายางจะสึกหรอเรียบเสมอกันตลอด ถ้าตรวจสอบกันเป็นประจำ จะเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ก่อนที่จะสายเกินแก้ เช่น สังเกตเห็นว่ายางสึกแถบด้านนอก หรือด้านในแถบเดียว ยางสึกเป็นจ้ำๆ ดอกยางสึกเป็นบั้งๆ หรือดอกยางสึกเป็นลักษณะของคมเลื่อย
เราไม่ต้องมีความรู้เรื่องของยางมากมายก็ตรวจสอบได้ครับ เพียงแค่เป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย ไม่ว่าใครก็สามารถมองเห็นถึงความผิดปกติได้ การสึกหรอที่ผิดปกติเป็นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งศูนย์ล้อผิดเพี้ยน ลมยางไม่ได้ตามกำหนด ล้อบิดเบี้ยว โช็คอับคดงอ เมื่อเห็นว่ามีการสึกหรอที่ผิดปกติ ให้นำรถเข้าไปตรวจสอบ และแก้ไขโดยด่วน อายุการใช้งานของยางจะได้ยาวนานขึ้น
เวลาล้างรถ แม้คุณไม่ได้ล้างเองก็ตาม ตอนที่ร้านเขากำลังลงแวกซ์ที่ยาง คุณก็ไปดูๆ สภาพยางเสียหน่อย เพราะรถเพิ่งล้างมาจะเห็นถึงสภาพได้ค่อนข้างชัดเจน จะสามารถพบเห็นร่องรอยการฉีกขาด รอยบาด หรือของมีคมที่ปักคาอยู่ ซึ่งคุณสามารถชี้ให้ช่างพิจารณาได้ว่ามันมีความปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ถ้าเห็นว่าไม่น่าจะปลอดภัย ก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ อย่าฝืนใช้งาน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของคุณได้ วันไหนขับไปกระแทก หรือตกหลุมมา ต้องรีบตรวจสอบสภาพยางโดยทันทีว่ามีอาการแก้มยางบวม หรือฉีกขาดหรือไม่
ตอนที่ 3 สลับยาง ยืดอายุการใช้งาน
เรามักจะคุ้นชินกับการสลับยางทุกๆ 10,000 กม. (โดยเฉลี่ย) ถือว่าเหมาะสมสำหรับรถที่หน้ายางสึกหรอตามปกติ ก่อนที่จะมีการสลับยางควรตรวจเช็คเรื่องการสึกหรอก่อน ว่าปกติหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนสลับยาง โดยเฉพาะคนที่ใช้รถทางไกลๆ และใช้ความเร็วสูงเป็นประจำ การสึกหรอยิ่งมีมาก
การสลับยางนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจเช็คเรื่องการสึกหรอในหัวข้อข้างต้น เพราะเมื่อตรวจพบว่าหน้ายางสึกหรอผิดปกติ ต้องรีบแก้ไข และสลับยางทันที เช่น เจ้าของรถที่วิ่งทางไกลเป็นประจำ และต้องใช้ความเร็วสูง ยางจะมีการสึกหรอมาก โดยเฉพาะรถขับเคลื่อน 2 ล้อ จะมีการสึกหรอมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ในการสลับยางนั้น ควรเอายางอะไหล่มาหมุนเวียนใช้ด้วย (เฉพาะกรณีที่ล้อและยางเป็นขนาดเดียวกัน)
ตอนที่ 4 ยางใหม่ไว้หน้า หรือหลังดี
กรณีที่คุณต้องเปลี่ยนยางใหม่ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนได้พร้อมกัน 4 เส้น การเปลี่ยนยางที่เหมาะสมต้องเปลี่ยนอย่างน้อยทีละ 2 เส้น หรือทีละคู่ การเปลี่ยนแบบนี้เราจะเคยชินว่าต้องเอายางใหม่ไว้ข้างหน้าเสมอ
แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ยางที่เปลี่ยนใหม่ต้องเอาไว้ที่ล้อคู่หลังเสมอ เพราะว่าเวลาที่เราเบรก น้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหน้าตามหลักเกณฑ์ในเรื่องของการถ่ายแรง (โมเมนตั้ม) โดยจะทำหน้าที่ถ่ายเทไปข้างหน้า จะช่วยให้ยางยึดเกาะถนนมากขึ้น เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น พยายามจะทำให้ยางบดลงไปบนถนน แต่กับล้อหลัง แรงที่ถ่ายเทไปข้างหน้าโดยเร็วจะทำให้ท้ายยกตัว ล้อหลังจะลอยขึ้นจากพื้น ทำให้การยึดเกาะน้อยลง
การเข้าโค้งก็เช่นกัน ล้อหลังต้องการการยึดเกาะที่มากกว่า เพราะไม่มีน้ำหนักของเครื่องยนต์ มาช่วยกดให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนน ฉะนั้นสรุปว่ายางใหม่ใส่ข้างหลังครับ
ตอนที่ 5 อายุการใช้งานของยาง
การเปลี่ยนยางทุก 50,000 กม. หรือ 2 ปี ถ้าทำได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะยางใหม่ๆ นั้นให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะที่ดีกว่า เสียงรบกวนก็น้อยกว่า แต่เรื่องของอายุการใช้งานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งแรงดันลมยาง การรับน้ำหนักของยาง สภาพถนน ลักษณะการขับขี่ สภาพของตัวรถ และอุณหภูมิของพื้นผิวถนนเป็นสำคัญ
จริงๆ แล้วยางมีอายุการใช้งานเท่าไรแน่ ความเป็นจริงนั้นยางชุดหนึ่งนั้น สามารถใช้ได้จนกว่าดอกยางจะหมด เพียงแต่ประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆ จะลดลงครับ เช่น มีความกระด้างมากขึ้น เสียงดังมากขึ้น ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและการเบรกลดลง
ถ้าเราเพิ่มความระมัดระวังก็สามารถใช้งานได้จนกว่าดอกยางจะหมด แม้ว่าจะเห็นร่องรอยการแตกลายงาแล้วก็ยังสามารถใช้ได้ เว้นแต่กรณีที่ยางมีอาการเสียหายดังต่อไปนี้ คือ มีร่องรอยการปริแตก ฉีกขาด ยางบิดเบี้ยวเสียรูปจนไม่กลม ควรเปลี่ยนทันทีครับ
ตอนที่ 6 การซ่อมหรือปะยาง
การซ่อมหรือปะยาง ต้องพิจารณาถึงลักษณะบาดแผลและตำแหน่ง การปะยางตามปั๊ม หรือร้านยางทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะทำให้เราได้ทุกอย่างตามความต้องการ แต่ถ้าเข้าศูนย์บริการยางโดยเฉพาะ หลายๆ ลักษณะจะไม่ได้รับการแนะนำให้ซ่อม เพราะมีผลต่อความปลอดภัยโดยตรง เช่น อาจจะทำให้ยางปริแตก หรือระเบิดจากการใช้งานได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ความเร็วสูง
เพราะยางที่ซ่อมโดยการเชื่อมประสานด้วยความร้อน (สตีม) หรือมีการเพิ่มเนื้อยางเข้าไป เวลาที่ล้อหมุนด้วยความเร็วสูงๆ จะเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง ซึ่งอาจจะทำให้ยางเสี่ยงต่อการแตกระเบิดได้ เรื่องความปลอดภัยต้องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าบากแผลฉกรรจ์จำเป็นจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก็ควรเปลี่ยน เพราะเงินไม่กี่พันบาทมีผลต่อความปลอดภัยของคุณ และคนรอบข้างโดยตรงนะครับ