Languages
หน้า: 1 2 [3]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: voltage stabilizer  (อ่าน 14115 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #30 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 02:40:15 pm »

ขออนุญาติ

โฮ้วววว ใส่สองอย่าง ยิ่งเพิ่มพลังงั้นสินะคับ  anger

ผมก็ว่ายังไม่ใช่ อยู่ดี  พลัง มาจากไหน ??
มีใครบอกได้ หรือ มีบทความที่สามารถบอกได้ว่า การที่เราทำไฟ กระแสไฟ ให้เรียบ จนเป็น อุดมคติ
สามารถเรียกพลังของเครื่องยนต์ ออกมาได้

ผมเข้าใจคำว่าพลังของป๋า thara  ผิดหรือเปล่าไม่รู้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 17, 2014, 02:43:25 pm โดย Cherdkiet » บันทึกการเข้า
thara
Sr. Member
****

like: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1750



อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 04:07:48 pm »

ขออนุญาติ

อ้าว... มันไม่ได้พลังหรอกรึคับป๋า
ผมก็นึกว่า แบบคอมแอร์ทำงาน ไฟมันไม่ตกลง
มันก็ไม่ฉุดรอบ กำลังเครื่องยนต์น่ะ
ก็ไม่เสียกำลังเครื่อง พลังก็กลับคืนมาไรงี้ 
บันทึกการเข้า

เชื่อในพลัง มั่นในสไตล์
E23FGG Stand by 144.xxx
PALUM
Newbie
*

like: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #32 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 10:37:38 pm »

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะครับ ผิดถูกตามหลักวิชาไม่รับประกัน...ว่าด้วยเรื่องไฟฟ้าในรถยนต์ ผมว่าเมื่อเครื่องยนต์ติดกำลังไฟฟ้าที่ใช้น่าจะมาจากไดชาร์จ แบตเตอรี่มีไว้ใช้ตอนเครื่องยนต์ยังไม่ติด (เมื่อเครื่องยนต์ติด ถอดแบตออกยังได้) ทีนี้กราวน์ของไดชาร์จคือตัวถังหรือเปลือกของไดชาร์จซึ่งเป็นโลหะและยึดติดกับเครื่องยนต์....ส่วนกราวน์ของระบบไฟฟ้ารถยนต์คือตัวถังรถ แต่ตัวถังรถกับเครื่องยนต์ยึดติดกันด้วยยางรองแท่นเครื่อง ดังนั้นเพื่อความชัวร์ว่ากราวน์จากไดชาร์จกับกราวน์ที่เป็นตัวถังรถต้องต่อถึงกันจึงต้องมีสายไฟต่อระหว่างตัวถังกับเครื่องยนต์ ...รถใหม่ๆไม่มีปํญหาเพราะจุดเชื่อมต่อ(ซึ่งมักจะเป็นน๊อตยึด)สะอาดไม่มีความต้านทาน แต่พอรถเก่า คราบสกปรก คราบน้ำมันเครื่อง อ๊อกไซด์ฯลฯ ทำให้ผิวสัมผัสมีความต้านทานเพิ่มขึ้น...กราวน์ไวร์ที่ติดตั้งเข้าไปจึงมีผล...ส่วนสเตบิไลเซอร์ ผมว่าน่าจะเรียกว่าฟิลเตอร์มากกว่า ไม่น่าจะเพิ่มพลังให้เครื่องยนต์ได้มากมาย น่าจะช่วยได้ในส่วนเสียงหวีดที่แทรกเข้าทางวิทยุมากกว่า...ไฟฟ้าที่ใช้ใน ECU ของเครื่องยนต์ น่าจะเป็น 5 V แต่ไฟที่มาจากไดชาร์จ อย่างน้อยก็ 13 V หรือจากแบตก็ 12 V  ดังนั้นภายในECU ต้องมี เรกกูเลเตอร์ที่ทำให้ได้แรงดันไฟฟ้าคงที่อยู่แล้ว...และมันก็คงต้องมี C กันสัญญาณรบกวนด้วย(เพราะ ECU มีใช้มานานแล้วต้องมีการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องกันมาบ้าง...ผมเชื่ออย่างนั้น) ดังนั้นการที่คิดว่าการติดสเตบิไลเซอร์แล้วทำให้ ECU ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เพิ่มพลังเครื่องยนต์มากขึ้น ผมจึงไม่เห็นด้วยครับ ....ย้ำว่า ที่ว่ามาทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวไม่มีหลักฐานทางวิชาการใดๆอ้างนะครับ แค่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #33 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 05:47:43 am »

เนี่ยๆ  ละครับที่ผมจะบอก ชอบคุณป๋า PALUM     มากๆ เลย


 สาธุ สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 18, 2014, 08:05:08 am โดย Cherdkiet » บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #34 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 05:50:26 am »

เอาล่ะ งานนี้มีคนที่เข้าใจผม หรือเห็นหลักการคล้ายๆ ผม
เฮ้อ ผมรอดแล้ว


 
บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #35 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 08:12:00 am »

ขออนุญาติ

อ้าว... มันไม่ได้พลังหรอกรึคับป๋า
ผมก็นึกว่า แบบคอมแอร์ทำงาน ไฟมันไม่ตกลง
มันก็ไม่ฉุดรอบ กำลังเครื่องยนต์น่ะ
ก็ไม่เสียกำลังเครื่อง พลังก็กลับคืนมาไรงี้ 

ผมเข้าใจว่า
รถมีต้นกำลังหลักคือเครื่องยนต์ ส่งถ่ายแรงไป ล้อ  ไป แอร์ ไป ไดร์ชาร์จ
เมื่อแอร์ทำงาน เครื่องมีภาระมากขึ้น รอบตก ไฟในระบบตกเล็กน้อย ตัว ISC ทำงาน เพิ่มรอบขึ้นมาเพื่อชดเชย
ไดร์ชาร์จบ้านเรา เครื่อยนต์รอบต่ำ 12.8-13.2 โวทล์โดยประมาณ รอบสูงๆ ไดร์ชาร์จได้ 14.0 - 14.2 โวทล์

โวทล์ที่ผมแสดงออกมา มันมากพอให้ระบบอิเล็คทรอนิคส์ในรถยนต์ทำงานได้อยู่แล้วครับ

ยังไงยังไง แอร์ หรือ น้ำหนักรถ ก็ชุดรอบอยู่แล้วครับ
บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #36 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 08:30:47 am »

ผมเข้ามาอีกครั้งเพื่อจะยืนยันสิ่งที่ผมรู้นั้น มาจากประสบการณ์ที่ผมเคยใช้กับรถคันเก่า อายุรถ 15 ปี
บวกกับความรู้ทางอิเล็คทรอนิคส์เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียนมาและยังพอหลงเหลืออยู่บาง




จุดประสงค์ก็เพื่อ
1. บอกผ่านความรู้ที่ผมพอมีให้สู่เพื่อนๆ สมาชิก
2. อยากบอกความสามารถพื้นฐานของอุปกรณ์ที่เรากำลังอยากจะติดเพิ่ม
4. ถ้าจุดประสงค์ที่อยากให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบ ไปรบกวน หรือ กระทบกับความเชื่อ ผมต้องขออภัย และก็จะหยุดให้กระทู้มันค่อยๆ ตกไป
5. ผมไม่สนใจตังค์ในกระเป๋าเพื่อนสมาชิกหรอกครับ ใครใคร่ซื้อ  ก็ซื้อ ในราคาที่เท่าไรที่ผู้ขายตั้งก็เป็นเรื่องของเพื่อนสมาชิก
    ราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ ผมอยากให้ได้ของจริงตามที่กล่าวอ้าง
6. การเพิ่มประสิทธิ์ภาพเครื่องอย่างนึงที่ตรงวัตถุประสงค์ ตรงจุดคือการปรับจูน ECU ใหม่ นั้นนะ เราเข้าไปแก้ไขได้ตรงจุดเลย
   รีดประสิทธิ์ที่เครื่องยนต์มี ออกมาเต็มๆ แต่ต้องแลกกกับอายุเครื่องยนต์
7. การปรับไม่ให้รู้สึกหน่วงนั้น  ก่อนอื่นทำไมหน่วง มันเป็นคุณลักษณะของสมองกลทั้งหมด ไม่เหมือนระบบเมคคานิคสมัยก่อน
คันเร่งไฟฟ้าเป็นหนึ่งในตัวแปรนี้ เราไม่ได้ใช้สายไปเปิดปีกผี้เสื้ออีกแล้ว วิธีแก้ทางกลคือ หาแหวนไปรอง
เพื่อเป็นการลดระยะฟรี หรือ เปรียบเสมือนปรับปีกผีเสื้อให้เปิดรออยู่เล็กๆ แต่นั้นแก้ได้แค่ระยะต้นของการเร่ง แต่การคลิ๊กดาวน์นั้นคงต้องใช้กล่องคันเร่งไฟฟ้าช่วยอีกที


ทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นส่วนบุคคล ผิดถูก ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ



 สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
ao_thammarat
Newbie
*

like: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112


« ตอบ #37 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 09:37:14 am »

ผมเข้ามาอีกครั้งเพื่อจะยืนยันสิ่งที่ผมรู้นั้น มาจากประสบการณ์ที่ผมเคยใช้กับรถคันเก่า อายุรถ 15 ปี
บวกกับความรู้ทางอิเล็คทรอนิคส์เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียนมาและยังพอหลงเหลืออยู่บาง




จุดประสงค์ก็เพื่อ
1. บอกผ่านความรู้ที่ผมพอมีให้สู่เพื่อนๆ สมาชิก
2. อยากบอกความสามารถพื้นฐานของอุปกรณ์ที่เรากำลังอยากจะติดเพิ่ม
4. ถ้าจุดประสงค์ที่อยากให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบ ไปรบกวน หรือ กระทบกับความเชื่อ ผมต้องขออภัย และก็จะหยุดให้กระทู้มันค่อยๆ ตกไป
5. ผมไม่สนใจตังค์ในกระเป๋าเพื่อนสมาชิกหรอกครับ ใครใคร่ซื้อ  ก็ซื้อ ในราคาที่เท่าไรที่ผู้ขายตั้งก็เป็นเรื่องของเพื่อนสมาชิก
    ราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ ผมอยากให้ได้ของจริงตามที่กล่าวอ้าง
6. การเพิ่มประสิทธิ์ภาพเครื่องอย่างนึงที่ตรงวัตถุประสงค์ ตรงจุดคือการปรับจูน ECU ใหม่ นั้นนะ เราเข้าไปแก้ไขได้ตรงจุดเลย
   รีดประสิทธิ์ที่เครื่องยนต์มี ออกมาเต็มๆ แต่ต้องแลกกกับอายุเครื่องยนต์
7. การปรับไม่ให้รู้สึกหน่วงนั้น  ก่อนอื่นทำไมหน่วง มันเป็นคุณลักษณะของสมองกลทั้งหมด ไม่เหมือนระบบเมคคานิคสมัยก่อน
คันเร่งไฟฟ้าเป็นหนึ่งในตัวแปรนี้ เราไม่ได้ใช้สายไปเปิดปีกผี้เสื้ออีกแล้ว วิธีแก้ทางกลคือ หาแหวนไปรอง
เพื่อเป็นการลดระยะฟรี หรือ เปรียบเสมือนปรับปีกผีเสื้อให้เปิดรออยู่เล็กๆ แต่นั้นแก้ได้แค่ระยะต้นของการเร่ง แต่การคลิ๊กดาวน์นั้นคงต้องใช้กล่องคันเร่งไฟฟ้าช่วยอีกที


ทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นส่วนบุคคล ผิดถูก ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ



 สาธุ สาธุ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆในกระทู้นี้มากนะคับ ผมว่ามีประโยชน์มากๆคับ
ข้อ 6 ตรงใจผมเลยคับป๋า
แต่ที่สงสัยคือข้อ 3 คับ ยังไม่เข้าใจ อิอิอิ
บันทึกการเข้า
ตือโป๊ยก่าย
Newbie
*

like: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 201



« ตอบ #38 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 10:22:41 am »

ผมเข้ามาอีกครั้งเพื่อจะยืนยันสิ่งที่ผมรู้นั้น มาจากประสบการณ์ที่ผมเคยใช้กับรถคันเก่า อายุรถ 15 ปี
บวกกับความรู้ทางอิเล็คทรอนิคส์เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียนมาและยังพอหลงเหลืออยู่บาง




จุดประสงค์ก็เพื่อ
1. บอกผ่านความรู้ที่ผมพอมีให้สู่เพื่อนๆ สมาชิก
2. อยากบอกความสามารถพื้นฐานของอุปกรณ์ที่เรากำลังอยากจะติดเพิ่ม
4. ถ้าจุดประสงค์ที่อยากให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบ ไปรบกวน หรือ กระทบกับความเชื่อ ผมต้องขออภัย และก็จะหยุดให้กระทู้มันค่อยๆ ตกไป
5. ผมไม่สนใจตังค์ในกระเป๋าเพื่อนสมาชิกหรอกครับ ใครใคร่ซื้อ  ก็ซื้อ ในราคาที่เท่าไรที่ผู้ขายตั้งก็เป็นเรื่องของเพื่อนสมาชิก
    ราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ ผมอยากให้ได้ของจริงตามที่กล่าวอ้าง
6. การเพิ่มประสิทธิ์ภาพเครื่องอย่างนึงที่ตรงวัตถุประสงค์ ตรงจุดคือการปรับจูน ECU ใหม่ นั้นนะ เราเข้าไปแก้ไขได้ตรงจุดเลย
   รีดประสิทธิ์ที่เครื่องยนต์มี ออกมาเต็มๆ แต่ต้องแลกกกับอายุเครื่องยนต์
7. การปรับไม่ให้รู้สึกหน่วงนั้น  ก่อนอื่นทำไมหน่วง มันเป็นคุณลักษณะของสมองกลทั้งหมด ไม่เหมือนระบบเมคคานิคสมัยก่อน
คันเร่งไฟฟ้าเป็นหนึ่งในตัวแปรนี้ เราไม่ได้ใช้สายไปเปิดปีกผี้เสื้ออีกแล้ว วิธีแก้ทางกลคือ หาแหวนไปรอง
เพื่อเป็นการลดระยะฟรี หรือ เปรียบเสมือนปรับปีกผีเสื้อให้เปิดรออยู่เล็กๆ แต่นั้นแก้ได้แค่ระยะต้นของการเร่ง แต่การคลิ๊กดาวน์นั้นคงต้องใช้กล่องคันเร่งไฟฟ้าช่วยอีกที


ทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นส่วนบุคคล ผิดถูก ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ



 สาธุ สาธุ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆในกระทู้นี้มากนะคับ ผมว่ามีประโยชน์มากๆคับ
ข้อ 6 ตรงใจผมเลยคับป๋า
แต่ที่สงสัยคือข้อ 3 คับ ยังไม่เข้าใจ อิอิอิ

 Cheesy Cheesy Cheesy
บันทึกการเข้า

Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #39 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 05:14:32 pm »

ข้อสามผมคิดไม่ค่อยเหมาะครับ เลยลบ แต่ลืมไล่ข้อใหม่

ป๋าโดมทำรีวิวมาดูด้วยครับ

http://www.pajerosport-thailand.com/forum/index.php?topic=21757.0


ขออนุญาติป๋าโดมด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #40 เมื่อ: มีนาคม 24, 2014, 11:18:32 am »

volt stabilizer ไม่มีระบบตัดไฟเวลาเครื่องดับครับ พวกนี้ทำงานตลอด จะไม่ทำงานก็ต่อเมื่อฟิวส์ขาด หรือ ยกขั้วแบตขึ้นเท่านั้นหละครับ

อย่างที่ทราบว่า volt stabilizer คือการนำตัวเก็บประจุ หรือ Capacitor หลายๆตัวมาต่อคร่อมกัน ผมจะขยายความเข้าใจเล็กๆน้อยๆ

แหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าให้กับรถยนต์คือ ไดชาร์จ อาศัยการหมุนตัวตัดกันของขดลดสนามแม่เหล็ก เกิดเป็นไฟ กระแสสลับ หรือ AC เหมือนไฟบ้าน (ไม่มีขั้ว ไฟมาเส้นเดียว) แล้วเอามาผ่านวงจร Regurator ภายใน กรองไฟกระสลับ เป็นกระแสตรง DC แบบถ่านไฟฉาย มีสองขั้วบวก และ ขั้วลบ ส่งมากักเก็บกระแสไฟที่ แบตเตอร์รี่ แม้กระแส ไฟที่ได้จากไดชาร์จ จะมีความกระเพื่อม ไม่สม่ำเสมอ ตามความเร็วรอบเครื่องยนต์ แต่ตามหลักวิชาอิเล็กทรอนิกส์ Capacitor ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ Battery ต่อให้แรงดัน Votage และกระแส Current จะกระเพื่อมแค่ไหน Battery จะทำหน้าที่กรองกระแสให้เอง ยังไงกระแสก็เรียบ 100 เปอร์เซนต์

ส่วน volt stabilizer เป็นการกรองความถี่มากกว่า เหมือนคลื่นเสียงก็มีความถี่ ที่มนุษย์ได้ยิน และก็มีความถี่อีกมากที่เราไม่ได้ยิน volt stabilizer มีหน้าที่กรองความถี่ในจุดนี้ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ทำงานร่วมกับความถี่ เช่นวิทยุ ลำโพง เพาเวอร์แอมป์ กล่อง ECU น็อกเซนเซอร์ วัดไมล์ วัดรอบอื่นๆ แต่ถ้าจะบอกว่าเอา volt stabilizer มากรองกระแสไฟให้เรียบขึ้น ผมว่าเป็นเพียงขี้เล็บของแบตเตอร์รี่ เท่านั้นครับ
ส่วนเรื่องอายุการใช้งาน ไม่ว่า Capacitor หรือแบตเตอร์รี่พวกนี้มีอายุการใช้งานทั้งนั้นครับ ขึ้นอยู่กับความร้อนที่ไปกระทำต่อมัน แต่ให้มันเสื่อมยังไง ก็แทบไม่เห็นผล เพราะมันแทบไม่มีผลอะไรต่อรถยนต์เลย แต่ถ้าเป็น Capacitor ตัวเล็กที่อยู่กล่อง ECU ิอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือพวกที่อยู่วิทยุ โทรทัศน์ พวกนี้ค่าความถี่ว่าเป็น เฮริตซ์ พวกนี้ถ้าเสื่อมเมื่อไหร่ จะพาความถี่รวนไปทั้งวงจรเลยครับ

ถ้าคิดจะซื้อ volt stabilizer ในราคาที่แพงมากๆ ผมว่าได้ไม่คุ้มเสียครับ ซื้อแบตเตอร์รี่เล็กๆมาพ่วงอีกลูก จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักวิชา มากกว่า

ถ้าจะทำเองมีข้อดีตรงที่เราสามารถหาค่า Capacitor หลายๆเบอร์ มาต่อพ่วงเพื่อให้กรองความถี่ได้หลายๆ ค่าความถี่ และราคาก็ถูกมากๆครับ ทำเองได้ไม่ยาก
แต่ถ้าต้องการความสวยงาม สะดวก สบาย ซื้อมาใส่เลยก็ดีกว่าครับ เลือกที่ความสวยงาม และราคาต้องถูกที่สุด ก็พอแล้วครับ


Cr. http://www.weekendhobby.com/board/trooper/Question.asp?ID=15589
บันทึกการเข้า
Punpun
MIVEC switch — at 4750 rpm
Hero Member
*****

like: 105
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2652


อีเมล์
« ตอบ #41 เมื่อ: มีนาคม 24, 2014, 12:10:11 pm »

แวะมาคุยเป็นเพื่อนป๋า   Cheesy Cheesy Cheesy Cheesy

เข้ามาเรื่อง  ที่เน้นการกรองสัญญารความถี่ที่ขี่มากับกระแสก็ขอแจมเพิ่มนิดครับ บอกก่อนว่าไม่ได้อ่านเยอะ อิ  แต่ความจำดี 

เท่าที่เห็นมีการแตก Cap ออกเป็นส่วนส่วนอยู่ด้วย  ถ้าเราเน้นให้สัญานทีขี่มาหลายย่านความถี่ ให้ผ่านลงไปกราวน์   น่าจะลอง add เจ้าพวก Condensor  ค่ากระจิ๋วพวก 0.จุดเล็กเล็กลงไปอีก มาคร่อมขนานไปใน diagram อีก พวก โพรีสไทรีน โพรีพรอพไพรีนค่ากระจิ๋วกระจิ๋ว  จะได้เป็นตัวผ่านที่ดีของเสียงย่านความถี่สูงมากมากพวก 15000 hz - 20000 hz ออกไปได้ง่ายอีกด้วย  เพราะพวกนี้สัญานความถี่สูงสูง สามารถผ่าน Condensor ตัวกระจิ๋วค่าน้อย  ออกไปได้ดีทั้งปริมาณและย่านความถี่สูง   ที่วิ่งผ่าน ม้วนกระดาษ ใน Cap ราคาถูก  ลองเป็นเพิ่มพวก ที่ใส้เป็นดั smile..งกล่าวข้างต้นอีกสัก ค่าสองค่าคร่อมขนานไปอีกชุดสองชุด  เจ้าเสียงวี๊ดวี๊ด อาจไหลไปได้มากและง่ายกว่าด้วยมังครับ

แค่มาคุยสนุกกับป๋าหน่อย  ลองชุดไหนยังไงผลออกมาเอามารายงานกันเรื่อยเรื่อยนะครับ 
บันทึกการเข้า

เพื่อประโยชน์โดยรวมของสมาชิก  เราจะทำต่อไป....
seto16(เอก)
Hero Member
*****

like: 51
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2189


Soil Science is my life


อีเมล์
« ตอบ #42 เมื่อ: มีนาคม 24, 2014, 12:13:01 pm »

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ
บันทึกการเข้า

ไม่เคยคิดเอาชนะใคร แค่เอาชนะตัวเองก็พอแล้ว...
"อยากให้เกษตรกรไทย ใช้ปุ๋ยและสารเคมีอย่างถูกต้อง ไม่น้อยไปจนผลผลิตเสียหาย หรือมากไปจนผู้บริโภคอันตราย"
Gamo
Newbie
*

like: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 39


« ตอบ #43 เมื่อ: มีนาคม 24, 2014, 12:36:52 pm »

กระแส
ไฟถ้ามีกระกระเพื่อม (Ripple) จะใช้ C ในการกรองกระแส
แต่ถึงยังไงมันก็ได้ระดับหนึ่งไม่ได้ราบเรียบเลยทีเดียว
โดยปกติจะใช้วงจรที่เรียกว่า LC Filter บางครั้งเราเรียกว่า low pass
filter มาช่วยเพื่อลดสัญญาณรับกวนเพิ่มซึ่งจะมีผลมากกับเครื่องเสียง
แต่ในกรณีของรถยนต์ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลมากน้อยสักเท่าไร เพราะไม่ว่าใน
ECU หรืออุปกรณ์อื่น ๆ วงจรภายในมันก็มีพวก C พวกนี้อยู่แล้ว
บางตัวมี Regulator ชนิดที่ว่าสามารถทำให้ไฟราบเรียบสนิทได้ดีกว่า C
ที่ต่ออยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ

ก็แล้วแต่นะครับส่วนตัวผมแล้วผมไม่เชื่อว่าจะช่วยได้มากนัก

เพิ่มเติม C ที่เป็นแบบกระป๋องเมื่อใช้ไปนาน ๆ มันสามารถรั่วได้ (leak) คือมีไฟจากขั้วบอกรั่วไปที่ขั้วลบ แต่จะมีผลอะไรหรือเปล่าไม่แน่ใจ
แต่ถ้าจะต่อควรมีฟิวส์ด้วยนะครับ ป้องกันไว้ก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 24, 2014, 12:40:03 pm โดย Gamo » บันทึกการเข้า
Cherdkiet
You'll never walk alone.
Full Member
***

like: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1188



« ตอบ #44 เมื่อ: มีนาคม 24, 2014, 12:59:42 pm »

ได้ครับป๋า ป๋า และ ป็า พัน
อย่างนึงที่ผมจะลองหามาเล่นให้ป๋าดูคือพวก Sim math ต่างๆ
เช่น Electronic workbench. vtwixit อะไรประมาณนี้นะครับ
เดียวัวนหยุดยาวๆ ผมหาโหลด แล้วจะ Sim ให้ดู
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2006-2009, Simple Machines
by Pajerosport-Thailand TEAM
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.057 วินาที กับ 21 คำสั่ง