ความรู้พื้นฐานของน้ำมันเครื่องมาให้อ่านกัน ขอขอบคุณเจ้าของบทความด้วยครับ
ประเภทน้ำมันเครื่อง
โดยแยกย่อยออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน
ตั้งแต่ Group 1 - 3 เป็นน้ำมันเครื่องที่ทำมาจาก น้ำมันดิบ หรือ น้ำมันตามธรรมชาติ
Group 1 - น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา (Base Oil)
- เป็นน้ำมันพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป อายุการใช้งานประมาณ 5,000 กม.
Group 2 - น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ( Semi Synthetic)
- เป็นการนำน้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic) มาผสมกับ Base Oil โดยมีส่วนผสมของสารสังเคราะห์โดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 - 15 %
Group 3 - น้ำมันเครื่องสังเคราะห์(เทียม) (Synthetic)
- น้ำมันสังเคราะห์เทียม หรือ ที่แป๊ะที่กระป๋องว่า (Synthetic) เพราะยังมีส่วนผสมของ Base Oil อยู่
* เนื่องจากตัวทำละลายสารเพิ่มคุณภาพมีราคาแพง จึงเอาน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้เป็นตัวทำละลาย อาจจะมีส่วนผสมของ Base Oil อยู่ 10 ? 15 % ในแต่ละยี่ห้อก็มีการผสมแตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ราคาไม่สูงมากนัก แล้วอ้างว่าเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ น้ำมันเครื่อง Synthetic และบางทีก็หาทางออกโดยใช้คำว่า Synthetic Technology หรือใช้คำ Synthetic ร่วมกับคำอื่นๆ เป็นน้ำมันสังเคราะห์ส่วนใหญ่ที่วางขายในบ้านเรา
ตั้งแต่ Group 4 - Group 5 เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
เป็นพวก PAO หรือ Polyalphaolefin คือผลิตขึ้นมาจาก สารสังเคราะห์แท้ๆ 100 %
Group 4 - น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic) PAO 100 %
- ผลิตมาจากสารสังเคราะห์ล้วนๆ โดยไม่มี Base Oil เจือปน แม้แต่น้ำมันพื้นฐานก็ยังเป็นเกรด Synthetic Base Oil ส่วนใหญ่จะเป็นพวก PAO หรือ Polyalphaolefin คือผลิตขึ้นมาจากสารสังเคราะห์แท้ๆ 100 % ให้การหล่อลื่นและปกป้องได้ดียิ่งกว่า เหนือกว่าน้ำมันเครื่องทุกยี่ห้อ ที่มีขายในขณะนี้
Gruop 5 ? จะเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ที่มีความคล้ายคลึงกับ Group 4 มีความหล่อลื่นมากและอายุการใช้งานสูงเหมาะสำหรับพวกเครื่องจักร
ดังนั้น น้ำมันเครื่องGroup 4 จึงเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ซึ่งเหมาะสมสำหรับยานยนต์ ให้การปกป้องมีความลื่นและอายุการใช้งานสูง
ในการผลิตน้ำมันเครื่องเค้าก็ใช้น้ำมันเครื่องพื้นฐานจาก 1 ใน 5 นี่แหละ แล้วนำเอาพวกสารเพิ่มประสิทธิภาพผสมลงไป โรงงานที่ผสมหรือผลิตน้ำมันเครื่องในบ้านเรามีอยู่ไม่กี่แห่ง พวกบริษัทน้ำมันเครื่องก็จ้างโรงงานเหล่านี้ผลิตให้ ดังนั้นน้ำมันเครื่องหลายยี่ห้อก็ออกมาจากโรงงานเดียวกัน ด้วยเหตุนี้คุณภาพของน้ำมันเครื่องจึงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องพื้นฐานกับพวกสารเพิ่มคุณภาพที่เติมผสมลงไป
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ แท้ /เทียม
น้ำมันเครื่องสำเร็จรูปที่ระบุว่าเป็นชนิดสังเคราะห์ 100% ใช้น้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานชนิดสังเคราะห์ โพลีแอลฟาโอลีฟิน (POLYALPHAOLEFIN-PAO) ซึ่งไม่สามารถละลายสารเพิ่มคุณภาพบางตัวหรือละลายได้ไม่ดี จึงอาจมีการละลายสารเพิ่มคุณภาพด้วยน้ำมันหรือสารอื่นก่อนผู้ผลิตบางรายเน้นความประหยัด โดยนำสารเพิ่มคุณภาพไปผสมกับน้ำมันหล่อลื่นชนิดธรรมดาก่อน เมื่อนำมาผสมกับน้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานจึงเกิดข้อกังขาว่า จะเป็นน้ำมันเครื่องสำเร็จรูปชนิดสังเคราะห์ 100% ได้อย่างไร ในเมื่อมีน้ำมันชนิดธรรมดาผสมอยู่ด้วยจากการช่วยทำละลายสารเพิ่มคุณภาพ
มีผู้ผลิตไม่มากนักที่ยอมลงทุนนำสารเพิ่มคุณภาพไปละลายกับน้ำมันหล่อลื่นชนิดสังเคราะห์อื่นที่มีราคาแพง ไม่เหมาะกับการใช้งานในเครื่องยนต์รถยนต์ แต่ทำละลายได้ดี เช่น น้ำมันหล่อลื่นเครื่องบินเจ็ต (DIBASICESTER) เมื่อนำไปผสมกับน้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานชนิดสังเคราะห์ ก็จะกลายเป็นน้ำมันเครื่องสำเร็จรูปชนิดสังเคราะห์ 100% ทุกหยดจริงๆ ต่างจากกรณีแรกที่มีน้ำมันชนิดธรรมดาช่วยทำละลายสารเพิ่มคุณภาพผสมอยู่ด้วย
Hydro crack คือการเอาน้ำมันเครื่องพื้นฐานจากแร่หรือปิโตเลียม(Mineral Base oil) ไปจัดเรียงโมเลกุลขึ้นมาใหม่(คล้ายกับทำ GMO's ในพืช) แล้วใส่สารผสมเพิ่มคุณภาพเข้าไป(Aditive)
สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหา คือบริษัทที่ทำน้ำมันเครื่องจาก Group 4 อันเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ขนานแท้ เห็นว่ามันไม่ถูกต้องที่นำเอาน้ำมันเครื่อง Group 3 อันเป็นน้ำมันธรรมชาติมาทำเป็นน้ำมันเครื่อง แล้วโฆษณาว่าเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
ทำให้มีการฟ้องร้องกันระหว่าง ผู้ผลิตน้ำมัน Group 4 กับผู้ผลิตน้ำมัน Group 3 ก็เพราะว่าในสหรัฐอเมริกา มีบริษัทน้ำมันเครื่องแห่งหนึ่งใช้น้ำมันเครื่องพื้นฐาน Group 3 เอามาผสมสารเพิ่มคุณภาพเข้าไป แล้วประกาศว่าเป็น น้ำมันเครื่องสังเคราะห์หรือน้ำมันเครื่อง Synthetic และบางทีก็หาทางออกโดยใช้คำว่า Synthetic Technology หรือใช้คำ Synthetic ร่วมกับคำอื่นๆ ขายราคาที่ถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ยี่ห้ออื่นๆ
ทำให้คุณสมบัติของ Group 3 ซึ่งยังมี Base Oil ที่เป็น ปิโตรเลียมผสม ไปใกล้เคียงกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Group 4 ที่เป็น PAO 100% หรือ Polyalphaolefin เข้า
ศาลตัดสินให้ ผู้ผลิตน้ำมัน Group 3 สามารถใช้คำว่า Synthetic ถึงแม้จะไม่เป็น Synthetic 100% แต่เนื่องจากส่วนผสมของน้ำมันก็ยังมีสาร Synthetic เป็นตัวหลัก (* เป็นส่วนผสมมากที่สุดในอัตราส่วนต่อ 1 หน่วย) แม้จะมี Base Oil ซึ่งเป็นปิโตรเลียม ผสมอยู่ด้วยในอัตรา 10 ? 15 % ก็ตาม
ถึงแม้คุณภาพของน้ำมันเครื่อง Group 3 จะใกล้เคียงกับน้ำมันเครื่อง Group 4
แต่ก็เพียงแค่ใกล้เท่านั้น แต่ความเป็นจริงยังไม่สามารถทัดเทียมได้
:-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X :-X
ยังไม่ชัด...เอาไปอีก1อัน
http://www.doeb.go.th/knowledge/ngv_4.htmการใช้คำว่าสังเคราะห์ หรือ SYNTHETIC กับน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องประกอบด้วยน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานผสมกับสารเคมีเพิ่มคุณภาพ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามชนิดของน้ำมัน
พื้นฐานที่นำมาผลิตเป็นน้ำมันเครื่อง ดังนี้
ประเภทที่ 1 เป็นน้ำมันเครื่องทั่วไปที่ผลิตจากน้ำมันแร่ซึ่งได้จากการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง
ประเภทที่ 2 เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic) ที่ผลิตจากน้ำมันซึ่งสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป
เช่น ความคงทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ อายุการเปลี่ยนถ่ายและการใช้งานนานขึ้น มีอัตราการระเหยต่ำลดปัญหาการสิ้นเปลืองหล่อลื่น เป็นต้น
ส่วนประเภทที่ 3 เป็นน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) ที่ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์เพื่อเสริมคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป
และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
ในช่วงที่ผ่านมาน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ที่นิยมใช้ในการผลิตน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ได้แก่ โพลีอัลฟาโอเลฟิน ซึ่งผู้บริโภค
จะสังเกตได้ว่าผู้ผลิตจะแสดงคำว่า PAO ในฉลากของน้ำมันเครื่องเพื่อเป็นจุดขายมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่ากระแสเริ่มลดลง
เนื่องจากได้มีการนำน้ำมันพื้นฐานชนิดใหม่ ที่เรียกว่า Unconventional Base Oil (UCBO) ซึ่งได้จากการนำน้ำมันแร่ทั่วไปมาผ่าน
ขบวนการสังเคราะห์พิเศษ ทำให้มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ PAO มาใช้แทน โดยมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ PAO ในด้านความทนต่อการ
เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนสูง ความสิ้นเปลืองหล่อลื่นน้อยเนื่องจากอัตราการระเหยต่ำ การเกิดคราบสกปรก เขม่า และโคลนตมใน
เครื่องยนต์ต่ำ และแม้ว่า PAO จะมีความบริสุทธิ์กว่า แต่ถ้าเปรียบเทียบในด้านการใช้งานแล้ว ก็สามารถยอมรับกันกันโดยทั่วไปทั้งใน
ด้านวิชาการ และการตลาดว่า น้ำมันพื้นฐานชนิดใหม่นี้สามารถใช้ในการผลิตน้ำมันเครื่องได้เทียบเท่ากับ PAO เช่นกันและผู้ผลิต
สามารถที่จะแสดงฉลากเป็นน้ำมันสังเคราะห์ได้ และสำหรับน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ในปัจจุบันก็ได้มีการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพื้นฐานชนิด
ใหม่นี้แทน PAO โดยผสมในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 10-30 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาสูตรการผลิตของแต่ละบริษัทด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ประเภทใด ผู้บริโภคก็จะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์
ในการใช้งานด้วย โดยทั่วไปการใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ก็เนื่องจากมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายที่นานกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป แต่ก็ควร
จะพิจารณาว่าคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่ สำหรับการใช้งานจริงในท้องถนนซึ่งรอบและสภาวะการใช้งานเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลา น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ก็มีส่วนช่วยได้บ้างเนื่องจากมีความคงตัวสูงกว่า แต่สำหรับการใช้งานในสภาวะปกติและระยะ
ทางไม่มากนัก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์
อนึ่งการเลือกซื้อน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ผู้บริโภคต้องระมัดระวังและสังเกตให้ดี เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้คำภาษาอังกฤษ Synthetic
บนฉลากน้ำมันเครื่องอย่างแพร่หลาย เช่น Synthetic Technology , Synthetic Performance , Plus Syn , Synthetic Guard , Syntec และ
Synthetic Based เป็นต้น ซึ่งข้อความเหล่านี้ไม่ได้สื่อชัดเจนว่าเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % หรือกึ่งสังเคราะห์ ดังนั้นจึงควรอ่านฉลากหรือ
ข้อความภาษาไทยประกอบด้วย เพราะบางชนิดก็เป็นน้ำมันเครื่องธรรมดาเท่านั้น แต่ผู้ผลิตต้องการใช้คำว่า Synhtetic เพื่อสื่อถึงองค์ประกอบอื่นในน้ำมันเครื่องที่ไม่ใช่ Base Oil
ในปัจจุบันผู้ผลิตน้ำมันเครื่องมีการแข่งขันสูง มีการใช้กลยุทธ์ต่างๆ เข้ามาช่วยในการจำหน่ายสินค้าและชักจูงผู้บริโภคให้เกิด
ความพึงพอใจในสินค้าของตน นอกเหนือไปจากการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในเชิงวิชาการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดแลกแจกแถม การออกแบบบรรจุภัณฑ์
การโฆษณาในสื่อต่างๆ ซึ่งก็เป็นการดีที่ผู้บริโภคจะมีสินค้าให้เลือกมากมายหลายชนิดขึ้น แต่ก็ยิ่งต้องใคร่ครวญในการตัดสินใจซื้ออย่างถ้วนถี่และรอบคอบมากขึ้นเช่นกัน
------------------------------------------------------------
สำนักคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
กรมธุรกิจพลังงาน
โทร. 0 2547 4319-20
พฤษภาคม 2546