ท่ามกลางกระแสที่หลายๆคนเรียกว่า “ความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นจาก “เหตุการณ์จูนเนอร์คนหนึ่ง” ผมซึ่งเป็นสมาชิกอยู่ในฐานะของผู้สังเกตุการณ์ ที่ติดตามเรื่องราวมาโดยตลอด จนในช่วงหลังก็มีกระแสเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้ง เรียกร้องให้ “มิตรภาพ” และ “ความจริงใจ” กลับมาในสังคมแห่งนี้ ตัวผมเองกลับมีมุมมอง มีความรู้สึกที่แตกต่างไม่เหมือนใครที่อยากมาแชร์ในสังคมแห่งนี้ ให้เห็นอีกมุมมองหนึ่งที่มีต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
หลายๆคนมองเหตุการณ์ “จูนเนอร์คนหนึ่ง” ว่าเป็นความขัดแย้ง ความไม่จริงใจ ความไม่รักกัน แต่ผมกลับมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นไปตาม “ธรรมชาติ” ของสังคมที่เติบโตขึ้นตามขนาดและระยะเวลาของมัน
สังคมทัวๆไปโดยมากจะมีจุดเริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้ๆกัน แต่สังคม online มักจะเกิดจากคนกลุ่มเล็กๆที่มีความสนใจหรือความต้องการที่คล้ายๆกันมารวมตัวกัน ในขั้นนี้ความสัมพันธ์ของสมาชิกจะเป็นไปในลักษณะของเพื่อน พี่ น้อง ด้วยการที่มีจำนวนสมาชิกน้อย การอยู่ร่วมกันจึงเป็นไปในแบบการแชร์ความรู้ แชร์ข้อมูล รวมไปถึงการมีชีวิตร่วมกันในบางกิจกรรม โดยมากมักจะยังไม่มีเรื่องของการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้นความสัมพันธ์ในแบบเพื่อน พี่ น้องของสมาชิกแต่ละคนก็เริ่มเบาบางลง ยกเว้นเพียงในกลุ่มย่อยเล็กๆในสังคมเท่านั้นที่ยังมีความสัมพันธ์ในแบบเพื่อน พี่ น้อง ดังกล่าว ในขณะที่ความสัมพันธ์ลดลง การค้าขายกลับมีมากขึ้น เนื่องจากจำนวนคนมากขึ้น ความต้องการมากขึ้น ในขณะที่สังคมยังไม่ใหญ่โตมาก จำนวนสมาชิกยังไม่มากนัก การค้าขายอาจมาในรูปแบบของสมาชิกนำเข้ามาขาย หรือให้คำแนะนำแหล่งที่สามารถไปซื้อได้ พ่อค้ามืออาชีพอาจมีเข้ามาร่วมในสังคมระดับนี้บ้างแต่ไม่มากนักเพราะจำนวนสมาชิกขนาดของความต้องการยังมีไม่มากพอที่จะดึงดูดให้พ่อค้าเข้ามา (Non Attractive Stage) และเมื่อเวลาผ่านไปอีก จำนวนสมาชิกที่เพิ่มจำนวนขึ้นอีกจนถึงระดับหนึ่ง ความสัมพันธ์ในแบบเพื่อน พี่ น้อง ของสมาชิกก็ลดลงไปอีกจนบางครั้งในสมาชิกด้วยกันเอง “ยังไม่รู้จักกัน” ซะด้วยซ้ำ ความเป็น “กลุ่มย่อย” ในระบบสังคมเริ่มเด่นชัดขึ้น สมาชิกจะเริ่มรู้จักกันในกลุ่มย่อยๆ มากกว่าจะรู้จักกับสมาชิกทุกคนในวงกว้าง และในเวลาเดียวกันนี้เองที่จำนวนสมาชิก ขนาดของความต้องการสินค้าก็เพิ่มมากขึ้นจนเป็นที่สนใจของ “พ่อค้าอาชีพ” ที่เข้ามานำเสนอสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิก เมื่อมี “พ่อค้าอาชีพ” เข้ามามากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ “การแข่งขัน” “การให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน” รวมไปถึง “การสร้างกลุ่มย่อยขึ้นมาสนับสนุนตนเอง” (หรือที่เรียกว่าการสร้างสาวก) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นลักษณะธรรมชาติของสังคมที่ตลอดมา ยังไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ นอกเสียจากการจำกัดจำนวนสมาชิกตั้งแต่เริ่มต้น
สังคม Pajero Sport Thailand ก็เกิดขึ้น และเติบโตมาในทิศทางเดียวกับหลักการเติบโตของสังคมที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น แม้ผมจะไม่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมในสังคมแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ถ้าดูจากจำนวนสมาชิกตอนที่ผมเข้ามาเป็นสมาชิกมีเพียง 300 กว่าคน เทียบกับตอนนี้ที่มีเกือบ 1700 คน ก็สามารถถือได้ว่า ผมเองก็เฝ้าดูการเติบโตของสังคมแห่งนี้มามากกว่าครึ่งทางที่สังคมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าเราชื่นชมและสนับสนุนการเติบโตของสังคมแห่งนี้ เราเองในฐานะผู้อาศัยก็ต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมตามการเติบโตของมัน เพื่อให้เราอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข หรือสำหรับผู้ที่คุมกฎระเบียบของสังคมก็ควรจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อทำการควบคุมอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน อุปมาดังเช่นการเลี้ยงลูกแต่ละวัยมีวิถีทางและวิธีการต่างกันฉันท์ใด การควบคุมดูแลสังคมในแต่ละขนาดและช่วงเวลาก็มีความแตกต่างกันฉันท์นั้น
เราอาจต้องยอมรับว่าความสนิทสนมกลมเกลียว ความสัมพันธ์ในแบบเพื่อนสนิท พี่จ๋าน้องครับนั้นยังมีอยู่ แต่จะเข้มแข็งมากๆเฉพาะในกลุ่มย่อยเท่านั้น ในขณะที่ระหว่างกลุ่มย่อยกลุ่มต่อกลุ่มอาจมีความคิดเห็น ความชอบ และความต้องการที่แตกต่าง บางครั้งต่างกันจนสุดปลายก็มี ดังนั้นในสังคมขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มย่อยจำนวนหนึ่งการแสดงความเห็น การให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ก็ถือได้ว่าเป็นลักษณะปกติ เป็นธรรมชาติของสังคมในขนาดนั้นๆ
ส่วนในเรื่องของการควบคุมสังคมที่มีขนาดใหญ่ มีพ่อค้ามืออาชีพมาอยู่ร่วมในสังคม มีการแข่งขันทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรงนั้น ย่อมแตกต่างจากการควบคุมสังคมขนาดเล็กในระดับเริ่มต้น ในกลุ่มของพ่อค้าเองนั้นก็มี “พ่อค้าที่ดี” “พ่อค้าที่ยังไม่ดี” และมี “พ่อค้าที่ไม่ดี” ผสมปนเปกันเข้ามาอยู่ร่วมในสังคม สิ่งที่ผู้คุมกฎควรทำไม่ใช่การกำจัดพ่อค้าทั้งหมดให้หมดไป แต่ควรเป็นการป้องกันกลุ่ม “พ่อค้าที่ไม่ดี” มิให้สร้างความเสียหายให้แก่สมาชิก ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ “พ่อค้าที่ยังไม่ดี” นั้นปรับปรุงแก้ไข เพื่อยกระดับตนเองให้กลายเป็น “พ่อค้าที่ดี”ในอนาคต ซึ่งจะให้ประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกมากกว่าการกำจัดพ่อค้าให้สิ้นไป เพราะการกำจัดพ่อค้าทั้งหมด ก็ไม่ต่างจากการปิดหูปิดตาสมาชิก ให้ออกไปวัดดวงตายเอาดาบหน้า “นอกรั้วสังคม” เท่านั้นเอง
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของสังคมคือ “มิตรภาพ” และ “ความจริงใจ” ถ้าถามว่าในสังคมขนาดใหญ่ยังมีอยู่หรือไม่.......ตอบได้ว่าคงมีอยู่ แต่รูปแบบอาจแตกต่างจากสังคมขนาดเล็ก ในสังคมขนาดใหญ่ต้องถามตัวเราเองด้วยว่า “มิตรภาพ” และ “ความจริงใจ” ที่เราต้องการนั้นเป็นแบบไหน สังคมขนาดใหญ่ที่มีคนอยู่มากมาย มีกลุ่มย่อยเยอะแยะ มีพ่อค้าเข้ามาขายสินค้าหลากหลายอย่าง ทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน อย่างที่ Pajero Sport Thailand เป็นอยู่ทุกวันนี้ แบบไหนละที่เราจะเรียกว่า “มิตรภาพ” และ “ความจริงใจ” ที่เราอยากได้
การที่สมาชิกบางคนหรือบางกลุ่มรู้ว่าสินค้าของพ่อค้าบางราย “ไม่ดี” หรือ “ยังไม่ดี” เมื่อเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆเข้าไปซื้อสินค้าดังกล่าว เข้าไปจ่ายเงินให้พ่อค้าทั้งที่ตัดสินใจด้วยตัวเองก็ดี หรือถูกชักจูงด้วยกลุ่มสาวกก็ดี ก็ไม่ทักท้วง ไม่ท้วงติง ไม่เปิดเผยข้อมูล เพราะเกรงว่าจะสร้าง “ความขัดแย้ง” เกรงว่าจะ “ทะเลาะกัน” หรือจะด้วยความ “เกรงใจ” ในพ่อค้านั้นๆโดยตรง สังคมแบบนี้แหละครับที่ดูเหมือนไม่มีความขัดแย้ง ไม่ทะเลาะกัน แต่ปล่อยให้สมาชิกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไปลองเอง ไปพังเอง ไปเจ๊งเอง......สังคมแบบนี้หรือเปล่าที่เราจะเรียกว่าสังคมที่เต็มไปด้วย “มิตรภาพและความจริงใจ”
กับสังคมที่มีสมาชิกบางคนบางกลุ่ม ที่เมื่อมีข้อมูล รู้ว่าสินค้าของพ่อค้าบางรายบางเจ้า “ไม่ดี” หรือ “ยังไม่ดี” แล้วออกมากล่าวเตือน ให้ข้อมูล พยายามเปิดเผยความจริง ให้แก่เพื่อนสมาชิกทุกคน ไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จักได้ทราบ ได้เห็นถึงข้อมูลในด้านตรงข้ามกับที่พ่อค้าให้ไว้ สังคมแบบนี้แน่นอนครับต้องมีการถกเถียงในเรื่องข้อมูลบ้าง มีการใช้อารมณ์บ้าง มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมปกปิดบิดเบือนข้อมูลบ้าง สังคมอาจดูเหมือนไม่เรียบร้อยในสายตาของหลายๆคน รวมถึงผู้คุมกฎระเบียบด้วย แต่สมาชิกมีข้อมูลในการคิดวิเคราะห์มากขึ้น มีความเสี่ยงน้อยลง ไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นหนูทดลองให้ใคร......สังคมแบบนี้หรือครับที่เรียกว่าสังคมที่เต็มไปด้วย “ความขัดแย้งและความไม่จริงใจ” คนที่ออกมาเปิดเผยความจริงแบบนี้หรือครับที่เป็น “คนสร้างความขัดแย้ง”
ลองนึกดูดีๆนะครับ ว่าพวกเราอยากอยู่ในสังคมแบบไหน......โดยมุมมองส่วนตัวของผม ผมมองว่า สมาชิกที่ออกมาเปิดเผยความจริงให้สมาชิกคนอื่นทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ได้รู้ในความจริงที่ถูกปกปิดไว้ คนๆนั้นแหละครับ ที่มี “มิตรภาพและความจริงใจ” ให้กับทุกคน.....ถ้าคนแบบนี้อยู่ในสังคมไหนไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปหา “มิตรภาพและความจริงใจ” ในสังคมนั้นๆได้จากตรงไหนแล้วครับ
ทั้งหมดเป็นมุมมองส่วนตัวของผมที่ได้จากการเป็นผู้สังเกตุการณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจแตกต่างจากทุกๆท่านนะครับ
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านถึงบรรทัดนี้........มันเป็นบทพิสูจน์ว่า ท่านมีความอดทนสูงมากครับ